สังคมชนบทกับการแก้ไขโครงสร้างความเหลื่อมล้ำ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าการผลิต คือการนำปัจจัยการผลิตชนิดต่างๆ ตังแต่สองชนิดขึ้นไปมาทำให้เกิดสินค้าและบริการต่างๆเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ เช่นการผลิตทางภาคเกษตรในชนบทปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยจะประกอบด้วย ทุน ที่ดิน และแรงงาน ที่ใช้ประกอบกันเป็นผลผลิต
สังคมไทยในอดีตประชาชนส่วนใหญ่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยภาคการเกษตรโดยผลิตเพื่อกินเพื่อใช้ในครัวเรือนเป็นลักษณะเศรษฐกิจพอยังชีพ แต่ในยุคทุนนิยมปัจจุบันการหาเลี้ยงชีพด้วยภาคเกษตรในลักษณะพอยังชีพไม่อาจสนองตอบต่อความต้องการพื้นฐานของครอบครัวได้อีกต่อไป ประชาชนจำเป็นต้องดิ้นรนแสวงหาทางออกให้ตัวเองเพื่อเพิ่มรายได้ประทังการดำเนินชีวิต ด้วยการผลิตที่ต้องอาศัยปัจจัยการผลิตอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลผลิตมากยิ่งขึ้นสนองตอบต่อความต้องการของตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ตามมาก็คือการเพิ่มต้นทุนการผลิตของภาคการเกษตรอย่างต่อเนื่องตามมา
ในอดีตเราจะเห็นประชาชนในชนบทมีวิถีชีวิตคลุกคลีกับไร่นาตลอดฤดูการทำนาจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูการ เพราะต้อง ไถนา หว่านข้าว ปักดำ และจนท้ายสุดคือการเก็บเกี่ยว ซึ่งต้องใช้เวลาในการผลิต 4- 5 เดือน และ ต้องอยู่ในไร่นาวันละ 10-12 ชั่วโมง วิถีดังกล่าวเราจะได้ยินคำว่า “ลงนาตอนกาออกจากรัง กลับจากนาตอนกากลับสู่รัง” นั่นหมายความว่าเกษตรกรในชนบทมีวิถีชีวิตอยู่กับไร่นาเป็นส่วนใหญ่
เมื่อเศรษฐกิจที่ผลิตเพื่อการยังชีพที่ผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนของสังคมไทย ได้ล่มสลายลง เพราะการรุกคืบของเศรษฐกิจทุนนิยม ที่อาศัยกลไกการตลาดแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้าทั้งประเทศ ปัจจุบันประชาชนในชนบทไม่ได้ทำการผลิตอย่างในอดีตที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ แรงงานในครอบครัว แรงงานสัตว์ หรือแรงงานเพื่อนบ้าน(การลงแขก) เป็นอันดับแรก แต่ต้องหันมาพึ่งพิงปัจจัยการผลิตจากภายนอกที่ต้องซื้อหาและว่าจ้างตามกลไกของตลาดทั้งสิ้น ชาวไร่ชาวนาใช้เวลาอยู่ในไร่นาเพียงไม่กี่วัน และใช้เวลาวันละไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้เพราะมักจะใช้วิธีการว่าจ้างเป็นส่วนใหญ่ นับแต่ การจ้างไถ จ้างหว่าน จ้างดำ จ้างเกี่ยว ซึ่งต้องอาศัยเงินทุนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำการผลิตทางการเกษตร จึงเห็นได้ว่า แม้แต่ประชาชนในชนบทที่มีวิถีชีวิตและดำรงชีพโดยอาศัยการผลิตทางการเกษตรก็ตกอยู่ภายใต้กลไกเหล่านี้ กระบวนการผลิตหรือแม้กระทั่งการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนผลผลิตจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่งล้วนต้องอาศัยกลไกของราคาซึ่งอยู่ภายใต้ระบบตลาด
ส่งผลให้การผลิตในปัจจุบันนี้เป็นการผลิตภายใต้ระบบตลาด สังคมทั้งสังคมก็ตกอยู่ภายใต้เศรษฐกิจทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ เพราะต้องอาศัยทั้งระบบตลาดในเรื่องของการได้มาซึ่งสิ่งที่ใช้ในการผลิต และระบบตลาดเพื่อการจัดจำหน่ายผลผลิต รวมทั้งระบบตลาดในการดำเนินชีวิต เหล่านี้เองเป็นปัจจัยที่ทำให้เพิ่มต้นทุนในการผลิตทางการเกษตรของชาวไร่ชาวนาในชนบทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
นอกจากนั้นการบริโภคของประชาชนในชนบทที่ถูกกระตุ้นโดยข่าวสารได้แผ่กระจายรุกคืบเข้าไปในวิถีชีวิตของทุกชุมชนและทุกครัวเรือน ส่งผลให้รายจ่ายของครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมักจะประสบปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่จำเป็นเสมอมา และสะสมอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่าย ใกล้เปิดเทอมทรัพย์สินของมีค่าก็ไปอยู่ที่โรงรับจำนำทั้งของรัฐและเอกชน ภาวะหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว และนับวันยิ่งจะสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ค่าแรง 300 บาท ที่รัฐบาลเพิ่มให้กับแรงงานรับจ้าง ยังถูกนักการเมืองฝ่ายค้านและนายทุนบางคนอ้างว่าสูงเกินไป ทั้งๆที่ยังต่ำไปสำหรับรายจ่ายที่แท้จริง
การที่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายและมีหนี้สินพอกพูนมากขึ้น กดดันให้สมาชิกของแต่ละครัวเรือนต้องดิ้นรนออกไปแสวงหารายได้ให้พอเพียงกับสภาพเศรษฐกิจในการเลี้ยงชีพ เราจะพบว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูทำนา หัวหน้าครอบครัวต้องออกจากครอบครัวเพื่อเดินทางไปหางานทำทั้งขายแรงงานและรับจ้างทั่วไปรวมทั้งขับรถรับจ้าง เราเห็นชาวอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ทั้งลูกเล็กเด็กแดง ต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อขายสลากกินแบ่งกันทั้งอำเภอ เราเห็นหลายๆคนต้องไปขายแรงงานในต่างประเทศเพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัว จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไปเสียนา - กลับมาเสียเมีย” ซึ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในชนบท ส่วนผู้หญิงต้องแยกกระจายจากครอบครัว จากชุมชน อพยพเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและการค้ามาเป็น “ฉันทะนา” รับจ้างขายแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม และมักถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดมา การยกป้าย “ดีแต่พูด” ของตัวแทนแรงงาน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์มาจนทุกวันนี้ นี่คือที่วิถีชีวิตของประชาชนในชนบทที่ยังขาดการเหลียวแลอย่างจริงจัง จนกลายเป็นที่มาของการแตกสลายของชุมชน และการล่มสลายของครอบครัวในชนบท โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สายใยแห่งความสัมพันธ์ของครอบครัวและชุมชนอ่อนแอลงตามกลไกการพัฒนาที่มองข้ามความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของประชาชน
“วิถีทุนนิยม” ทำให้คนในสังคมเมืองลืมไปว่าชุมชนในชนบทมีหน้าที่หลักสองประการที่ได้สร้างความเจริญเติบโตของสังคมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นั่นคือ ประการแรกเป็น “หน่วยผลิต”ในระบบเศรษฐกิจ ที่ทำหน้าที่ในการสร้างผลผลิตเพื่อใช้บริโภคสำหรับทุกๆคนรวมทั้งการส่งออก และหน้าที่ที่สองคือการทำหน้าที่เป็นผู้บริโภคเอง นั่นคือการเพิ่มกำลังซื้อในระบบผลิตของภาคอุตสาหกรรม ทั้งการผลิตและการบริโภคในชีวิตประจำวันนั้นจำเป็นต้องพึ่งพารายได้ที่เหมาะสม แต่ในความเป็นจริงรายได้ของประชาชนในชนบทไม่เคยเพียงพอกับรายจ่าย ทั้งๆที่ได้แสวงหาช่องทางในการเพิ่มรายได้ตลอดมา ทั้งนี้เพราะที่มาของแหล่งรายได้ของชุมชนในชนบทนั้นมีที่มาจากรายได้สามประเภท คือมาจากค่าจ้างแรงงานในการรับจ้างทั่วไปซึ่งไม่มากนัก มาจากการส่งเงินกลับบ้านของแรงงานรับจ้าง และสุดท้ายจากการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นแหล่งรายได้หลัก ดังนั้นผลผลิตทางการเกษตรจึงเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตของครอบครัวประชาชนในชนบท
ปัจจุบัน การประกอบอาชีพทางการเกษตรของประชาชนในชนบทมีการกล่าวกันว่า “เกษตรกรไทยกำลังเดินไปสู่จุดจบ” ความยิ่งใหญ่ของเกษตรกรไทยในอดีตที่เคยพึ่งพาตัวเองได้และเคยเป็นผู้ผลิตในปริมาณอันดับต้นๆ ของโลกโดยเฉพาะการผลิตข้าวซึ่งส่งออกมากที่สุดแต่กำลังถูกแซงด้วยข้าวของเวียดนาม การทำให้อาเซียนเป็นระบบเดียวกันโดยไม่มีการป้องกัน ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวง แน่นอนว่าการล่มสลายของภาคเกษตรกำลังคืบคลานเข้ามา ทั้งนี้เพราะนโยบายของภาครัฐไม่ได้ปกป้องหรือคุ้มครองเกษตรกรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องโครงสร้างทางการผลิต ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยการผลิตทั้งเรื่องเงินทุน และที่ดิน ที่เกษตรกรไม่อาจเข้าถึงได้อย่างแท้จริง รวมทั้งโอกาสในการจำหน่ายผลผลิตก็ไม่อาจจำหน่ายได้อย่างเป็นธรรมเพราะถูกกดราคาจากนายทุนพ่อค้าคนกลางที่คำนึงแต่ประโยชน์ส่วนตน สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของพี่น้องเกษตรกรในชนบท
เมื่อหันมามองรายได้ของชาวไร่ชาวนาในชนบท โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือชาวนามีนาเฉลี่ยไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือน ผลผลิตข้าวในแต่ละปีไม่เกินไร่ละ 30 ถัง ซึ่งหากเฉลี่ย 15 ไร่ก็จะได้ข้าวเปลือก 450 ถัง หรือ 4.5 เกวียน ถ้าหากขายได้เกวียนละ 10,000 บาท ก็จะได้เงินตลอดฤดูกาล ไม่เกิน 45,000 บาท ต้นทุนต่อไร่ประมาณ 1,780 บาท เฉพาะต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกในไร่นาตกประมาณ 26,700 บาทต่อครัวเรือนซึ่งยังไม่รวมค่าขนส่งที่จะนำข้าวไปจำหน่าย จึงเหลือเป็นรายได้สุทธิเพียง 18,300 บาทต่อครัวเรือนขณะที่ครอบครัวชาวนาโดยเฉลี่ยครัวเรือนละ 3.9 คน คน ซึ่งรายได้ต่อปีเพียงเท่านี้ไม่อาจเพียงพอกับการเลี้ยงชีพได้
และยิ่งกว่านั้นต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า แม้รัฐจะกำหนดราคาไว้เกวียนละ 15,000 บาท ไม่ว่าการจำนำหรือการประกันราคา แต่ชาวนาจะจำหน่ายข้าวเปลือกได้ในราคาเพียง 7,000 – 8,000 บาท ทั้งถูกกดราคาทั้งถูกหักค่าความชื้นต่างๆนาๆ ครอบครัวชาวนาจึงเหลือรายได้สุทธิเพียง 5,000 – 9,000 บาทเท่านั้น คนหนึ่งมีรายได้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อปี สภาพปัญหาดังกล่าวนี้พบเห็นได้ทั่วไปของชุมชนในชนบททั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วเขาเหล่านั้นจะดำรงชีพอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร
ดังนั้นหากจะแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิต และปัญหาความยากจนของประชาชนในชนบท จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับหลัก 3 ประการนั่นคือ 1)การทำให้เกษตรกรเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น 2)การเปิดพื้นที่เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ทำมาหากินที่เหมาะสมและมีน้ำใช้อย่างต่อเนื่อง ประการสุดท้ายจัดหาช่องทางในการจำหน่ายผลผลิตที่สะดวกรวดเร็วอย่างทั่วถึงและเสมอภาค หากทำได้เพียงเท่านี้นั่นคือการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมชนบทได้ระดับหนึ่งหรือใครว่าไม่จริง
