ระบบโลจิสติกส์.. กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มองค์กรธุรกิจ

ในอดีตนักธุรกิจมักมองว่าโลจิสติกส์เป็นกิจกรรมที่ทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันโลจิสติกส์ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ซึ่งถือเป็น Outbound logistics
โลจิสติกส์จึงเป็นทางเลือกของผู้ผลิตสินค้ายุคใหม่ที่ต้องการยกระดับองค์กรธุรกิจของตนเองไปสู่กิจกรรมที่นอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า แล้วยังทำให้การแข่งขันต่ำ
ธุรกิจที่ยังมุ่งเน้นแต่เพียงการเป็นผู้ผลิตสินค้าอย่างเดียว เช่น การเป็น OEM(Original Equipment Manufacturers) ให้กับเจ้าของตราสินค้ารายอื่น นอกจากจะมีอัตราผลตอบแทนต่ำแล้ว ยังต้องประสบภาวการณ์แข่งขันจากผู้ผลิตสินค้าในประเทศที่มีค่าแรงต่ำอีกด้วย
เพราะการผลิตสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น หรือ capital-intensive production นั้นมีโอกาสที่จะมีคู่แข่งขันรายใหม่ในตลาดได้มาก (threat of new entrants ) เพราะไม่ต้องการเทคโนโลยีหรือทุนหรือความสามารถที่สูงนัก จึงมี barrier to entry ต่ำ ทำให้ผลตอบแทนต่ำตามไปด้วย ผู้ผลิตสินค้าในปัจจุบันจึงหันมาให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์
ซึ่งโมเดลในลักษณะนี้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในต่างประเทศได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น หรือ keiretsu(เคเร็ตสึ)ได้นำกลยุทธนี้ใช้และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยแต่ละ Keiretsu จะเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกจากญี่ปุ่น
แต่เมื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตขึ้น ทำให้ค่าแรงของแรงงานญี่ปุ่นสูงขึ้นประกอบกับค่าเงินเยนแข็งขึ้น อันเป็นผลมาจากการได้ดุลการค้าต่างประเทศจำนวนมาก keiretsu จึงต้องย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่นที่มีค่าแรงต่ำกว่า
จะสังเกตได้ว่า ในทุก keiretsu ที่ประสบความสำเร็จของญี่ปุ่นนั้น จะมีบริษัทลูกที่รับผิดชอบกิจกรรม โลจิสติกส์ของกลุ่มด้วยเสมอ เช่น กลุ่ม Mitsubishi มี NYK กลุ่ม Mitsui OSK กลุ่ม Dai-Ichi Kangyo มี K-Line เป็นต้น
กลุ่มซี.พี.เองก็มีลักษณะคล้ายกับ Keiretsu ของญี่ปุ่น คือ เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ (Conglomerate) และเป็นผู้ผลิตที่สำคัญในไทยและอาเซียน เรื่องโลจิสติกส์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท
เพราะการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ จากการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่า(waste)ในกระบวนการดำเนินงาน
การลดลงของต้นทุนการประกอบธุรกิจนี้จะส่งผลให้
1. ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
2. สามารถส่งสินค้าไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปได้โดยไม่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเปิดตลาดใหม่ที่อยู่ไกลออกไปจากเดิม
3. นำ margin ที่เพิ่มขึ้นนี้ไปลงทุนในการทำ Research and Development และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการของธุรกิจ
4. ลดราคาสินค้าตามต้นทุนที่ลดลง เพื่อเพิ่มปริมาณอุปสงค์สำหรับสินค้า ซึ่งจะเพิ่มยอดขายและขยายขนาดตลาดของธุรกิจ
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระบบโลจิสติกส์ของไทยในปัจจุบันกับต่างประเทศ ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างดี ยังไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด หากไทยต้องการเพิ่ม Logistics performance ตาม indicators ของ World Bank ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกลยุทธที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพของโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งในระดับ Macro และ Micro
ในระดับ Macro แน่นอนเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องปรับปรุงระบบศุลกากรให้รวดเร็ว โปร่งใสทันสมัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านต้นทุนและการใช้พลังงาน เช่น การขนส่งทางน้ำ และการขนส่งทางราง
การยกระดับประสิทธิภาพ logistics ในมิติ Macro นี้แนวทางที่สามารถทำได้ คือ การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ การปรับปรุง business process ให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจและการดำเนินธุรกิจ ฯลฯ
ตรงนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้าแล้วยังช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศไปพร้อมๆ กันด้วย
ในระดับ Micro สามารถทำได้หลายด้านเช่นกัน เช่น มิติด้านความสามารถของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Competence of logistics Service providers) ความสามารถในการติดตามและตรวจสอบ (Tracking and tracing) และความตรงต่อเวลาในการจัดส่งสินค้านั้นเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในแต่ละรายสามารถพัฒนาปรับปรุงได้ด้วยตนเอง
และถ้าธุรกิจใดที่สามารถควบคุมกิจกรรมโลจิสติกส์ใน supply chain ของตนได้ก็จะเป็นผู้มีอำนาจต่อรองสูงสุดและเป็นผู้ควบคุม supply chain ซึ่งนั่นหมายถึงผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ที่กำลังตามไปด้วย
