“ปฏิญญาปันมุนจอมเพื่อสันติภาพ” ระหว่าง 2 เกาหลีจะเกิดผลได้จริงหรือไม่ ?
ในหนังสือ “รัตนนิพนธ์”ของสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) กรรมการมหาเถรสมาคม วัดบวรนิเวศวิหาร ในบทความ “ธรรมคติ คุณค่าของความเอื้อเฟื้อ “ได้กล่าวและอธิบายถึงสุภาษิตของไทยอยู่บทหนึ่งเป็น เป็นคติสอนใจที่ลึกซึ้ง และอาจปรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองประเทศเกาหลีและหลายประเทศในโลกรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย คือ “ธรรมคติ” ดังนี้
“ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมา
“ถึงเป็นชาติ เป็นเชื้อ ถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้อในป่า”

ผู้เขียนขอนำคติธรรมที่ลึกซึ้งนี้มาวิเคราะห์กับสองประเทศเกาหลีคือเหนือและใต้จากการที่ได้มีโอกาสไปเยือนประเทศสาธารณรัฐเกาหลีหรือ “เกาหลีเหนือ” ในฐานะแขกของรัฐบาลถึงสองครั้งและได้ติดตามศึกษาสถานการณ์โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำสูงสุดตั้งแต่คนแรกคือ “คิมอิล ซุง”(KIM IL SUNG) มาจนถึงคนปัจจุบันคือ ”คิม จอง อึน (KIM JONG UN) ผู้เป็นหลาน ผู้เขียนจึงเชื่อว่าผู้นำเกาหลีเหนือทุกคนไม่มีความคิดร้ายต่อชาวโลกดังที่ประธานาธิบดีทุกคนของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาตั้งแต่สงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นในปี 2493 ถึง 2496 จนมาถึงประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่ถูกเรียกจากคนชาติเดียวกันว่า ”ทรัมป์บ้า” ใส่ร้าย และยิ่งเมื่อผู้เขียนมาเห็นภาพที่ “คิม จอง อึน” ร่วมร้องเพลง “รวมชาติเกาหลี” ปรบมืออย่างยิ้มแย้มแจ่มใสที่คณะนักร้องจากเกาหลีใต้มาจัดแสดงดนตรีที่กรุงเปียงยาง ผู้เขียนจึงเล็งเห็น “ผลว่า สันติภาพ” ระหว่างสองประเทศที่เป็นศัตรูกันมานานแท้จริงเพราะมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ได้เกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่งจากเสียงเพลงและคงจะพัฒนางอกงามต่อไปตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลา (ดูบทความ “ปรีชา ทัศน์ หนังสือพิมพ์ แนวหน้า วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2561 หน้า 2 “ฝรั่งเศสมอบเครื่องอิสริยาภรณ์แก่คุณสุดาและคุณดุษฎี พนมยงค์)
ขอย้อนความจำการในไปครั้งแรกของผู้เขียนได้ไปกับคณะของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ค.ศ.1954 (พ.ศ.2527) มีท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์กวี ทังสุบุตร เป็นหัวหน้าคณะ จึงเป็นการไปดูงานด้านการศึกษาเป็นสำคัญ เวลานั้น คิม จอง อึน ยังไม่เกิดครับ
ครั้งที่สองเมื่อปี ค.ศ.1993 ไปในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยที่มี ฯพณฯ ท่านศาสตราจารย์ มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภาเป็นหัวหน้าคณะในฐานะเป็นแขกของรัฐบาลเกาหลีเหนือในสมัยที่ “คิม อิล ซุง” เป็นผู้นำสูงสุด ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานในเกือบทุกด้านที่สำคัญทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และสถาบันการศึกษา และได้ไปเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดีผู้นำสูงสุด คิม อิล ซุง (KIM IL SUNG) และถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน (ดูรูปที่ 1) ขณะนั้น คิมจองอึน ที่เป็นหลานและเป็นผู้นำสูงสุดขณะนี้มีอายุประมาณ 9 หรือ 10 ขวบ (เกิดประมาณ 1983 หรือ 1984)
การไปครั้งที่สองนี้ยังมีโอกาสที่หาได้ยากกล่าวคือได้รับอนุญาตไปที่เส้นขนานที่ 38 พันมุนจอม (ดูรูปที่ 2) อันเป็นสถานที่เดียวที่สองผู้นำเกาหลีเหนือและใต้ คือ “คิมจอง อึน (KIM JONG UN)” และ ”มุน แจอิน (MOON JAE IN)” จับมือจูงกันเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 เดินข้ามเส้นขนานที่ 38 เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างรอยด่างไว้ในสงครามเกาหลี (ดูรูปที่ 2 และ 3) และไม่ว่าใครไม่อาจที่จะข้ามเส้นขนานที่ 38 ไปฝั่งประเทศเกาหลีใต้และข้ามมาเกาหลีเหนือได้โดยเด็ดขาด
ผู้เขียนและภรรยาต้องยืนนิ่งๆต้องระมัดระวังไม่อาจที่ก้าวขาไปฝั่งเกาหลีใต้แม้แต่นิดเดียวเพราะทหารทั้งสองฝั่งจ้องดูอยู่อย่างไม่กระพริบตา ในขณะเดียวกันนึก็อิจฉานกและสุนัขที่มีอิสระ เสรีภาพที่จะบินหรือเดินข้ามไปมาได้ เพราะเหตุสัตว์ไม่มี “สัญชาติ” เหมือนคน ที่เป็นสถานะตามกฎหมายกำหนดไว้ให้คนมีสิทธิและหน้าที่ที่แตกต่างกัน
การไปทั้งสองครั้งแม้จะมีฐานะที่แตกต่างกันและระยะเวลาห่างกันมาก แต่ผู้เขียนก็มีความประทับใจและไม่ประทับใจในหลายเรื่องที่มีโอกาสได้พบเห็น
ที่ประทับใจคงมิใช่สถานที่พักในพระราชวังเดิม การเลี้ยงรับรองอาหารที่ดีเลิศ แต่เป็นเรื่องความรู้สึกที่จริงใจ ทั้งที่ประเทศไทยเคยส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้ตามนโยบายกดดันของสหรัฐอเมริกา และสะอาดของบ้านเมือง การจราจรที่ไม่ติดขัด ความเขียวชอุ่มของต้นไม้ อากาศที่บริสุทธิ์สดชื่นใจ
ส่วนที่ไม่ประทับใจก็คือการขาดความอิสระที่ไม่อาจจะเดินไปเที่ยวที่ไหนๆพบพูดคุยกับชาวบ้านได้ถ้าไม่มีทหารติดตามดูแลไปด้วย และที่สำคัญความยากจนของประชาชนของเกาหลีเหนือ เพราะต้องมีความจำเป็นนำงบประมาณส่วนใหญ่มาสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร เช่นอาวุธนิวเคลียร์ ไว้คานมหาอำนาจอเมริกา “เมื่อขู่มาก็ขู่กลับไป” ทำให้ชาวโลกหวาดผวากลัวสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น
การที่เกาหลีเหนือต้องสร้างอาวุธให้ทันสมัยก็ตรงกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระราชทานไว้ว่า
“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ....”
สำหรับผู้เขียนสนใจในด้านการศึกษา ระบบกฎหมายการคลัง และการเงินเป็นพิเศษ เพื่อจะได้นำมาเปรียบเทียบกันระหว่างเกาหลีไต้และเกาหลีเหนือ คือรัฐธรรมนูญ ดังนี้
หนึ่งคือ เกาหลีใต้”มีรัฐธรรมนูญประเทศสาธารณรัฐเกาหลีที่มีอารัมภบทถึง “การกบฏที่ชอบธรรม”และที่จะรวมปิติภูมิโดยสันติ
ส่วน “ประเทศเกาหลีเหนือ” คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีที่มีปรัชญา “จูเช” (JUCHE) เป็นอุดมคติของประเทศที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(รูปที่ 1)
(คณะผู้แทนรัฐสภาไทยมี ฯพณฯ ศ. มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภา เข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดี คิมอิลซุง เมื่อ 1993 ตรงสุภาษิตว่า “แม้ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมา”)

( รูปที่ 2 ผู้เขียนกับอาจารย์สมถวิล สุวรรณทัต ที่เส้นขนานที่ 38 “พันมุนจอม ตรงกับสุภาษิตว่า “เมื่อแม้เป็นชาติ เป็นเชื้อเนื้อเดียวกัน ไม่เอื้อเฟื้อกัน ก็เหมือนเนื้อในป่า“
ส่วนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้แก่ประเทศเกาหลีเหนือที่อดีตประธานาธิบดีคิมอิลซุงได้บัญญัติลัทธิหรือปรัชญา “จูเช” (JUCHE)ขึ้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2498 มี 3 ประการ ดังนี้
1. เอกราชทางการเมืองอย่างแท้จริง
2. การพึ่งพาตนเอ็งทางเศรษฐกิจ
3. ต้องพัฒนาประเทศด้วยตนเอ็ง
ลัทธิหรือปรัชญา “จูเช” จึงเป็นอุดมการณ์หลักของเกาหลีเหนือมาโดยตลอดและได้นำไปบัญญัติไว้ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ เมื่อ 26 ธันวาคม 2508 เรียกว่า “immortal Juche idia” มีการแก้ไขให้สมบูรณ์เมื่อ 27 ธันวาคม 2515 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน
แต่ ณบัดนี้ วันนี้ คิม จอง อึน (KIM JONG UN) ผู้เป็นหลานของ คิม อิล ซุง ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลกดังที่ทราบกันแล้วเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 คือการสร้าง “สันติภาพ” ของสองชาติที่แท้จริง “เป็นชาติ เป็นเชื้อ เนื้อเดียวกัน” “จะไม่มีสงครามในคาบสมุทรเกาหลีต่อไป และยุคใหม่แห่งสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตามปฏิญญาปันมุนจอม....”

(รูปที่3 “เนื้อต่อเนื้อ ต้องเอื้อเฟื้อ เพราะเป็นเนื้ออาตมาเดียวกัน”)
ถ้าจะให้เกิดสันติภาพได้จริงๆ คำว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ”
คงจะต้องเปลี่ยนเป็นคำใหม่ว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียม “ลด” กำลังรบให้พร้อมสรรพ” นั่นแหละสันติภาพของโลกที่รอคอยจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง และคงมิใช่เฉพาะสองเกาหลีเท่านั้น ต้องรวมทั้งมหาอำนาจต่างๆเช่นอเมริกา และทุกประเทศในโลก จะได้นำงบประมาณในส่วนนั้นจำนวนมหาศาลมาลงทุนในด้านการศึกษา สวัสดิการของบุคคล เพื่อจะได้ไม่มีหนี้สาธารณะที่สูงมากดังเช่นทุกวันนี้
ที่สำคัญอย่าลืมของไทยเราด้วย
แต่การลดกำลังรบอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่ต้องรอคอย ครับ
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก http://m.yna.co.kr/kr/contents/?cid=MYH20150722006900038
