แนวโน้มความมั่นคงทางด้านอาหาร ศาสตร์และศิลป์ที่ต้องจัดการให้ลงตัว
วิกฤตอาหารกำลังเป็นประเด็นที่คนทั้งโลกกำลังให้ความสนใจ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนเกิดความห่วงใยในปัญหาดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าในอนาคตปี 2030 ประชากรโลกจะเพิ่มมากขึ้นถึง 8 พันล้านคนซึ่งแน่นอนว่าจะยังผลให้ความต้องการบริโภคอาหารมีมากขึ้น
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรของโลกยังมีผลต่อความต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่แหล่งน้ำมันจากฟอสซิลใต้ดินมีปริมาณลดน้อยถอยลงไปเป็นอย่างมาก อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดความสนใจที่จะหาแหล่งพลังงานทดแทนอื่นๆมาใช้แทนพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และพลังงานจากชีวมวลซึ่งเป็นผลผลิตจากพืชเกษตรอันเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญแหล่งเดียวกันกับที่ใช้ในการผลิตอาหารเช่นเดียวกัน ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้เป็นพลังงานทางเลือกสำหรับในอนาคตอันใกล้นี้
ภาพรวมของอุปสงค์สืบเนื่อง (derived demand) ทางวัตถุดิบจากการเกษตรอันเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนประชากรของโลกที่ชัดเจน
ขณะที่ความต้องการวัตถุดิบในการผลิตอาหาร เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมีความต้องการวัตถุดิบสำหรับพืชพลังงานทดแทน เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง เพิ่มสูงขึ้นและเมื่อผนวกกับความต้องการวัตถุดิบอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีความต้องการใช้อยู่เดิม เช่น ยางพารา ที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามมา ซึ่งในที่สุดก็คือ อุปสงค์โดย
รวมของผลผลิตจากการเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป
จากภาพรวมในเบื้องต้นดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับภาคการเกษตรที่จะสร้างรายได้ได้มากขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก หากแต่ว่าโลกของเราในปัจจุบันยังมีบริบทที่สำคัญอื่นๆที่มีผลกระทบเป็นอุปสรรคต่อความสามารถทางการผลิตทางการเกษตรเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จะเกิดขึ้นอยู่อีกหลายประเด็นด้วยกันภาวะโลกร้อนนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อขีดความสามารถทางการผลิตทางเกษตรเป็นอย่างมาก เพราะภาวะโลกร้อนทำในสภาวะดินฟ้าอากาศ เกิดความแปรปรวน ทั้งภาวะฝนแล้ง เกิดพายุ น้ำท่วมอุทกภัย และการระบาดของแมลงศัตรูพืชมีผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายต่อเนื่อง
นอกจากนี้ที่ดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกทางการเกษตรก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการขายที่ดินทำกินเพื่อชดใช้หนี้สินอันเกิดจากปัญหาผลตอบแทนจากการผลิตของเกษตรกรไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ขณะที่ที่ดินที่ยังใช้ทำการเพาะปลูกอยู่ก็ประสบปัญหาผลผลิตต่ำอันเนื่องมาจากการใช้ที่ดินที่ไม่ถูกต้องสูญเสียโครงสร้างที่ดีของดินไปหรือสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารในดินไป
ปัจจุบันนี้เกษตรกรมีความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ที่ดินของตนเป็นอย่างมาก เนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมัน มีผลต่อต้นทุนการผลิต เช่น การขนส่ง ปัจจัยการผลิตการเกษตรอื่น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย สารกำจัดป้องกันศัตรูพืช การชลประทาน การสูบน้ำ ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาอาหารปรับสูงขึ้นไม่ทันก็อาจจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิตไม่ตัดสินใจลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในที่ดิน
ในบางกรณีอาจจะมีความวิกฤตมากขึ้นไปอีกคือเกษตรกรอาจเลิกผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหาร หันไปปลูกพืชวัตถุดิบอุตสาหกรรมที่มีราคาสูงกว่าพืชอาหาร มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อไร่สูงกว่า ซึ่งที่สุดก็อาจจะส่งผลให้ดุลยภาพของการใช้ที่ดินทางการเกษตรระหว่างการผลิตเพื่อบริโภคและอุปโภคเปลี่ยนไป
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจในการผลิตพืชอาหารของเกษตรกรที่มาพร้อมกับอุปสงค์สืบเนื่องคือพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยในปัจจุบันผู้บริโภคจะคำนึงถึงคุณภาพสินค้า ความปลอดภัยในการบริโภคอาหารและการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นมีผลต่อการเรียนรู้เพื่อปฎิบัติให้ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคและมีผลต่อต้นทุนทางการผลิตของเกษตรกรเป็นเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทยของเราจัดเป็นผู้ผลิตผลผลิตเกษตรและอาหารที่สำคัญรายหนึ่งของโลกในปี 2554 จะพบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้ารวมอยู่ที่ 6,897 พันล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.67 % จากปี 2553 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมเฉลี่ย 1,419 พันล้านบาท คิดเป็น 20.57 % ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ทั้งนี้สินค้าเกษตรที่สร้างรายได้ในการส่งออกมากที่สุดได้แก่ ยางพารา ข้าว
อย่างไรก็ตามไทยก็ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศอยู่ไม่ใช่น้อย ส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการนำเข้าเชื้อเพลิงมากถึงปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท ทั้งๆที่เรามีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากพืช
มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยปี 2551 – 2554
การสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศไทยภายใต้บริบทต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นอาจกล่าวได้ว่า เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะต้องอาศัยการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่แนวคิดในการจัดสรรการใช้ทรัพยากรที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตรของประเทศไทย การสร้างสมดุลในการใช้พื้นที่ทางการเกษตรไปผลิตพืชเพื่อการบริโภคเช่นข้าวและพืชเพื่อการอุปโภคเช่น พืชพลังงานทดแทน พืชอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่นประเทศไทยมีพื้นที่ทำนารวมประมาณ 68 ล้านไร่ (รวมนาปรัง 10 ล้านไร่) ให้ผลผลิตอยู่ที่ปีละ 34 ล้านตันในพื้นที่รวมนี้มีพื้นที่ทำนาในเขตที่มีศักยภาพสูง 28 ล้านไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงถึง 800 กก.พี้นที่เหล่านี้หากได้มีการลงทุน ในการปรับปรุงระบบชลประทานให้สมบูรณ์แบบทำให้เกษตรกรสามารถทำนาปลูกข้าวได้สองรุ่นต่อปี คือ สามารถปลูกข้าวนาปีและนาปรังได้ และให้ผลผลิตเฉลี่ยขั้นต่ำได้ถึง 800 กก.ต่อไร่ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีเครื่องเพาะกล้า เครื่องดำนา เครื่องหว่านปุ๋ย และเครื่องเก็บเกี่ยว พร้อมกระบวนการวิเคราะห์ดิน วิเคราะห์ใบพืช เพื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เหมาะสม เป็นการทำนาในระบบเกษตรทันสมัยที่จะทำให้พื้นที่ทำนาในเขตที่มีศักยภาพสูง 28 ล้านไร่ สามารถให้ผลผลิตข้าวรวมปีละ 45 ล้านตัน
กรณีตัวอย่างนี้แสดงว่าหากเราสามารถจัดการทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมแล้วขณะที่เราใช้ที่ดินเพื่อปลูกข้าวลดลงร้อยละ 58 ของพื้นที่ในการปลูกข้าวระบบเดิมแต่สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวรวมได้อีกร้อยละ 32 เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตที่ผลิตได้จากระบบการใช้ที่ดินเดิม อีกทั้งพื้นที่นาข้าวส่วนที่เหลืออีก 30 ล้านไร่ ก็สามารถนำไปสนับสนุนส่งเสริมการเพาะปลูกพืชที่เหมาะสม เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลังหรือพืชอื่นๆ และหากนำไปปลูกพืชพลังงานทดแทนด้วยแล้วก็จะมีประโยชน์ช่วยลดการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงจากต่างประเทศและหันมาพึ่งพาพลังงานทดแทนในประเทศโดยมีการจัดการให้เกิดความสมดุลในการใช้ทรัพยากรที่ดินการเกษตรระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงานอีกด้วย
อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวเป็นเพียงกลยุทธ์การจัดการเชิงกายภาพซึ่งเป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์การเกษตรและเศรษฐศาสตร์การเกษตรมาประยุกต์สร้างระบบทางเลือกในการจัดสรรการใช้ทรัพยากรที่ดินเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแต่การที่จะบรรลุผลได้นั้นจะต้องอาศัยเกษตรกรซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่งกว่าเพราะเป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดงานตั้งแต่การเพาะกล้า ดำนา ดูแลจนถีงเก็บเกี่ยว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งนับวันมีแต่จะทำให้เกษตรกรเกิดความท้อถอยในอาชีพการทำนามากขึ้นทุกที
แล้วจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้เกษตรกรมีกำลังใจที่จะลงมือทำการเกษตรต่อไปด้วยความเต็มใจและเต็มความสามารถ
หากเราเป็นผู้บริหารในองค์กรเราก็ต้องหาแนวทางในการจูงใจให้ผู้ปฎิบัติงานมีกำลังใจในการทำงาน ทำงานด้วยความเต็มใจมุ่งมั่นเต็มตามความสามารถ การจูงใจเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการบริหารงาน ในทำนองเดียวกันนี้มีแนวทางในการจูงใจให้เกษตรกรประกอบอาชีพการเกษตรของตนเองต่อไปได้โดยนำทฤษฎี "สองสูง" มาประยุกต์ใช้กับการเกษตรของไทย คือ
สูงแรก ได้แก่ การเพิ่มราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นอย่างมีเหตุมีผล สินค้าเกษตรต้องปรับราคาตามจริงตามสภาวะเศรษฐกิจโลก มีเหตุผลสำคัญที่จะเป็นการจูงใจ คือ หากเกษตรกรสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่โลกแล้วแต่ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยยังยากจนไม่มั่นคงเกษตรกรก็จะไม่มีกำลังใจในการผลิตวัตถุดิบเกษตรเพื่อการบริโภคต่อไป จำเป็นอย่างยิ่งที่เกษตรกรจะต้องได้รับผลตอบแทนในการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรของโลกมากพอกับคุณค่าของความเป็นอาหารแก่มวลมนุษย์ มากพอที่จะทำให้มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ทัดเทียมกับคนในสาขาอาชีพอื่นๆในสังคม
สูงที่สอง ได้แก่ การเพิ่มรายได้ของประชาชนทั้งภาคเมืองและภาคชนบท (เงินเดือนข้าราชการและค่าแรงขั้นต่ำ) เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อสูงขึ้น มีกำลังซื้อสินค้าเกษตรมากขึ้น เกษตรกรก็ลืมหน้าอ้าปากได้มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจรายย่อย ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง เติบโตขึ้นไปได้อีก ระบบเศรษฐกิจก็จะหมุนเวียน ส่งผลต่อภาษีและรายได้ของประเทศ
ในภาพรวมภาคการเกษตรแม้จะได้รับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วก็ตามต้องกระตุ้นและจูงใจให้เกษตรกรเห็นความสำคัญไม่ละเลยในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาทักษะของแรงงานในการผลิต เนื่องจากการได้รับราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น อาจได้รับผลตอบแทนที่ไม่มากพอกับต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในอนาคตว่าผลผลิตของตนจะมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง
อนึ่งได้มีการวิตกถึงถึงผลกระทบของการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในกรณีที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่ามีผลต่อขีดความสามารถทางการเกษตรของไทยมากน้อยเพียงไรนั้น ขอกล่าวทำความเข้าใจไว้เบี้องต้นว่าการเกษตรของไทยมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องในฐานะผู้นำและได้รับประโยชน์เกิดโอกาสและความมั่นคงทางด้านอุปทานของอาหารมากมาย อาทิ
1.โอกาสในการขยายพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย พืชพลังงาน ไปยังประเทศสมาชิกด้วยการใช้นวัตกรรมทันสมัย
2.เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยนำเข้าวัตถุดิบที่มีคุณภาพในราคาที่แข่งขัน จากประเทศสมาชิกอาเซียน หรือขยายตลาดการผลิตสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบด้านต้นทุน
3.การลงทุนในประเทศอาเซียนหรือประเทศคู่ค้า ที่ไทยจะได้รับโอกาสจากข้อตกลงทางการค้าเสรี
4.การวางแผนพัฒนาเป็น Asean Hub ในอนาคต เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายอุปทานอาหารหล่อเลี้ยงประชากรอาเซียนและโลก ควบไปกับการเป็นผู้จัดการ Supply chain ทางอาหารของภูมิภาค
5.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทยที่มีศักยภาพและสร้างมาตรการพร้อมกับสินค้าที่ไทยขาดศักยภาพ
หากสามารถจัดการได้อย่างนี้ ประเทศไทยก็จะมีความมั่นคงทางด้านอาหาร และมีอาหารเพียงพอเลี้ยงคนของโลกในอนาคตอันใกล้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และที่สำคัญเป็นการสร้างโอกาสในเกษตรกรไทยที่ผลิตอาหารเลี้ยงพลโลกได้มีโอกาสยกฐานะระดับความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจสังคมให้มีรายได้สูง มีอาชีพที่มั่นคง ทัดเทียมกับงานในสาขาอาชีพอื่นๆได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ที่มา http://www.cpthailand.com
