ถอดบทเรียน "ปรีดี" 'เสียสละ-ประนีประนอม-ปล่อยวาง' แก้ความขัดแย้งคนในชาติ
คณบดีเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต บอกใช้หลักภราดรภาพตามแนว 'ปรีดี พนมพงค์' เห็นทุกคนเป็นพี่น้อง-ถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยแก้ไขความขัดแย้งในชาติได้ พร้อมวอนชนชั้นนำตระหนักถึงการปฏิรูปก่อนที่จะสายเกินไป
วันที่ 11 พฤษภาคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานรำลึก 112 ปี ปรีดี ประจำปี 2555 โดยภายในงานมีการเสวนา เรื่อง “ปรีดี พนมยงค์ กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในชาติ” ซึ่งมี ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต และรศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ ห้องประชุม สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงความขัดแย้งว่า เป็นสภาวะปกติของสรรพสิ่งและสังคม ทุกสังคมมีความขัดแย้งทั้งสิ้น ซึ่งหากเรามองความขัดแย้งในทรรศนะทีเป็นบวก ความขัดแย้งจะนำมาซึ่งพัฒนาการที่จะดีขึ้นหรือแย่หรือจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นในระบบสังคมและเศรษฐกิจแล้วแต่ความขัดแย้งนั้น
ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงแนวคิดในการแก้ไข้ปัญหาความขัดแย้งของนายปรีดี พนมยงค์ว่า แนวคิดอย่างหนึ่งคือแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยผสมผสานกับเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ที่ถือว่าเป็นระบบแบบสังคมนิยมอ่อนๆที่เคารพเสรีภาพในการประกอบการด้วย แต่ทั้งนี้แนวคิดที่สำคัญคือ สัทธิโซลิดาริสม์ หรือ ภราดรภาพนิยม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับหลักพุทธศาสนากับมนุษยธรรม
“หลักภราดรภาพมีรากฐานทางความคิดที่มีอิทธิพลจากความคิดในสังคมนิยมโดยรัฐในรูปแบบหนึ่ง หรือแนวความคิด แบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งความคิดนี้ในทางการเมืองจะช่วยให้การเผชิญหน้าและความขัดแย้งลดลง นั่นเพราะทุกคนจะมองว่า เราทุกคนเป็นพี่น้องกันในฐานะเป็นสมาชิกของสังคมในทุกวันนี้ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน”ดร.อนุสรณ์ กล่าวและว่าแนวคิดนี้จะสามารถนำมาแก้ไขความขัดแย้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ เนื่องจากสอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติ แสดงให้เห็นชัดว่าการกระทำของแต่ละคนนั้น จะมีผลกระทบทั้งในแง่ร้ายและแง่ดีให้กับคนในทุกสังคม
ทั้งนี้ ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันและอนาคตว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้นเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นการเมืองในอนาคตต้องเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะมีเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของโครงสร้างทั้งหมดในสังคม ทั้งนี้หากในอนาคตการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้สังคมไทยเปลี่ยนก็จะส่งผลให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมนั้นออกมาต่อต้านความเปลี่ยนแปลงจนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้อีก ซึ่งเหล่านี้นำมาสู่การเรียกร้องการมีผู้นำที่เสียสละ และสามารถที่จะประนีประนอมในสิ่งที่สามารถทำได้
“หวังว่า ชนชั้นผู้นำจะตระหนักว่าทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างมีพลวัต ดังนั้นแล้วในอนาคตการจะทำอะไรต้องวิเคราะห์แบบมีพลวัต ซึ่งต้องมีการปฏิรูป ในหลายประเทศนั้นที่เกิดการปฏิวัติจนนำไปสู่ความรุนแรงก็เนื่องมากจาชนชั้น นำไม่ปฏิรูปหรือปฏิรูปช้า ทั้งนี้มองว่า สังคมจะหาทางออกได้ดีกว่าสังคมอื่น เพราะสังคมไทยนั้นเป็นสังคมพุทธ และความเข้าใจในความอนิจจัง ของบ้านเมือง และเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้”
ด้าน รศ.ดร.นครินทร์ กล่าวว่า ความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องปกติ โดยเป็นความขัดแย้งแบบหลวมๆที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ทั้งนี้มองว่า นายปรีดี ได้ผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งมากมาย หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ซึ่งสามารถสรุปแนวคิดในการแก้ไขปัญหาได้ 4 รูปแบบคือ 1.ความเสียสละ 2.ความประนีประนอม 3.การใช้กฎกติกา และ 4.การปล่อยวาง
“สำหรับบางเรื่องที่นายปรีดี ไม่ได้ทำต่อ นั่นเพราะมีการปล่อยวาง เพราะเห็นว่าผลักดันไปคงไม่เป็นผล ฉะนั้นการปล่อยวางจะเป็นแนวคิดที่ช่วยเลี่ยงความรุนแรงได้ รวมถึงการประนีประนอมที่หากทำยอมกันได้ก็จะยอมทันที เพื่อให้งานที่ใหญ่กว่าสามารถเดินต่อได้ แต่ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านทำเป็นส่วนใหญ่ คือ การเสียสละ ยกตัวอย่าง กรณีกบฏวังหลวง ที่นายปรีดีเสียสละออกจากประเทศและไม่กลับ แม้จะกลับมาได้แต่ก็ไม่สบายใจที่ทำให้ลูกศิษย์เดือดร้อน”
