"ส่วย"ชายแดนตะวันตก ปิดฉาก"ค่าต๋ง" "นะคะมวย"

เรื่องของ พล.ต.นะคะมวย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยงกองพลร้อย KKO กลายเป็นข่าวฮือฮาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เพราะได้ถูกยกชั้นปะทะคารมกับรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่หลายยก
ปฐมบท คงเป็นเรื่องของแบล็คลิสต์ตามหมายจับที่จัดทำขึ้นตามคำสั่งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติด แต่ลึกๆ เป็นความร่วมมือของ 4 ชาติในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ชื่อของ “หน่อคำ” โจรสลัดหน้าหยกจากลุ่มแม่น้ำโขง ตัวละครที่เกี่ยวพันกับการสังหาร 13 ลูกเรือจีน กับ พล.ต. นะคะมวย “บิ๊กทหาร” ของกระเหรี่ยง KKO ตัวละครหลักของกลุ่มที่ยังไม่สวามิภักดิ์กับรัฐบาลพม่า
แต่อาการดิ้นของทหารยศ พลตรี ของกองกำลังของชนกลุ่มน้อยขนาดนี้ ประเมินไม่ยากว่าเกิดจากนโยบายการจัดระเบียบชายแดนของพม่า โดยเฉพาะผลประโยชน์จากการเก็บส่วย และ สัมปทาน ในพื้นที่เขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยเดิม หลังจากที่ พม่า ได้ทยอยมอบให้ BGF กองกำลังติดอาวุธที่สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลพม่าดูแลในกลุ่มที่ได้เจรจาจนบรรลุข้อตกลง
ที่ผ่านมา นักลงทุนไทย และ จากหลายชาติ ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกลางให้เข้าไปสำรวจทรัพยากรหลายประเทศ เช่น ป่าไม้ แร่ น้ำมัน แต่หลายกลุ่มต้องเสีย “ต๋ง” ในการเข้าไปสำรวจในพื้นที่เขตอิทธิพลชนกลุ่มน้อยที่อยู่บริเวณแนวชายแดน วิธีการของนักธุรกิจ และ นักลงทุนเหล่านี้ คือการใช้ “คอนเนกชั่น” ของอดีตทหารในพื้นที่ เข้าไปเจรจากับชนกลุ่มน้อยเป็นรายกลุ่ม แต่การเข้าไปดำเนินการได้ต้องได้รับการอนุญาตจากจังหวัดตาก
ตัวอย่างเช่น บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 30 พ.ย.49 ที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการครอบจักรวาล โดยกรรมการของบริษัท 7 คน มี พล.อ.ยงยุทธ พิมสาร อดีตผู้บัญชาการหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 32 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เป็นประธานกรรมการ
จากข้อมูลพบว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 52 บริษัท อุตสาหกรรม มยัค ตู่ (BMT) โดย นายเทียน ซอ มินต์ กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ได้ทำสัญญากับ บริษัทพบพาเจริญ จำกัด โดย พล.อ.ยงยุทธ นายจักริน เทพวงค์ และ นายมินห์ เนติคุณธรรม กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และ เมื่อวันที่ 11 สค.52 นาย ซอเส่งวิน กกล. ดีเคบีเอ ได้ทำหนังสือการสัมปทาน ร่วมกับ บริษัท พบพาเจริญจำกัด (PPJ) โดย พล.อ.ยงยุทธ์ นาย จักริน และ นายมินต์ เรื่องการให้สัมปทาน สร้างถนน ทำไม้ และ เหมืองแร่ ตามหนังสือสัมปทาน เลขที่ 112/ 2009 ลง ส.ค.2552 จำนวน 4 ข้อ
1. บริษัท อุตสาหกรรม พงศ์ มยัค ตู่ ตกลงว่าจ้าง บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ทำการสำรวจ และ ตัดไม้ในเขตพื้นที่ รัศมี 50 ตารางกิโลเมตร จาก บ.วาเล่ย์ใหม่ จังหวัดเมียววดี สหภาพพม่า พร้อมทำการแปรรูปไม้ที่ บริษัท วาเล่ย์ใหม่ ตามพื้นที่ บ.พบพาเจริญ จำกัด ได้รับสัมปทานในการทำไม้
2. บริษัท อุตสาหกรรมพงศ์ มยัค ตู่ ตกลงว่าจ้าง บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ทำการสำรวจ และทำเหมืองแร่ในเขตพื้นที่รัศมี 50 ตารากิโลเมตร จาก บ.วาเล่ย์ใหม่ จ.เมียวดี สหภาพพม่า ตามพื้นที่ที่บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ได้รับสัมปทานในการทำเหมืองแร่
3. บริษัท อุตสาหกรรม พงศ์ มยัค ตู่ ตกลงว่าจ้าง บริษัท พบพาเจริญ จำกัด สำรวจและสร้างถนนจาก บ.วาเล่ย์ ถึง จ. เมาะละแหม่ง เป็นระยะทาง 200 กิโลเมตร ตามพื้นที่ บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ได้รับสัมปทานในการทำถนน ตามหนังสือสัมปทาน รวมถึงการทำถนนแยกซอย ในการทำไม้ และ เหมืองแร่
4. บริษัท อุตสาหกรรมพงศ์ มยัค ตู่ ตกลงว่างจ้างให้ บริษัท พบพาเจริญ จำกัด สำรวจและพัฒนาถนนภายใน บ.วาเลย์ใหม่ และ สร้างถนนจาก บ.วาเล่ย์ใหม่ถึง จ.เมียวดี สหภาพพม่า
ทั้งนี้ขั้นตอนการขออนุญาตนำเข้าแร่เหล็กในราชอาณาจักรไทย ของ บริษัท พบพาเจริญ จำกัด ได้ติดต่อผ่าน ชิปปิ้งแตงโม อ.แม่สอด จ.ตาก และ ยื่นหลักฐานการดำเนินการตามพิธีศุลกากร อ.แม่สอดฯ มีการกระจายให้ท้องถิ่นเมื่อมีการนำแร่เหล็กเข้ามาในประเทศไทย โดยจ่ายให้เป็นค่าตอบแทนให้กับท้องที่ โดยแบ่งเป็นส่วนต่างจำนวน 15 บาท โดยกรรมการหมู่บ้าน บ.วาเล่ย์เหนือ 3 บาท / ตัน , อบต.วาเลย์ จำนวน 3 บาท / ตัน,เทศบาล อ.พบพระ จำนวน 3 บาท / ตัน เจ้าของบ้านพักแร่จำนวน 1บาท/ ตัน และ อื่นๆ จำนวน 5 บาท /ตัน
ในขณะที่ผลประโยชน์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง คือการจ่ายภาษีผ่านทาง / ค่าคุ้มครองในฝั่งพม่า ซึ่งจะต้องผ่านพื้นที่อิทธิพลของ กองกำลังดีเคบีเอ กองพลน้อย โกล้ทูบอ รี พล.ต.นะคะมวย เป็น ผบ.พล.ฯ และ กองกำลังเคเอ็นยู พัน 201 มี พ.ต. บือพอ (ยศในขณะนั้น) เป็น ผบ.พันฯ นอกจากนี้ ได้จ่ายให้กับทหารพม่าที่ควบคุมเส้นทางในพื้นที่ด้วย ซึ่งทางบริษัทฯ จะต้องจ่ายภาษี เมื่อขนแร่ผ่าน พื้นที่อิทธิพลของแต่ละส่วน ในอัตรารวม250/ ตัน
โดยจ่ายให้ ดีเคบีเอ ในอัตรา 150 บาท / ตัน เนื่องจากเป็นพื้นที่เหมืองแร่ในเขตอิทธิพลของ กองกำลังดีเคบีเอ และการดำเนินการของ บริษัทฯ ในการทำธุรกรรมกับรัฐบาลพม่า และกองกำลัง DKBA บก.พลน้อย โกล้ทูบอ เป็นผู้ประสาน จ่ายให้ กองกำลังเคเอ็นยู เมื่อมีการขนแร่ผ่านในอัตรา 50 บาท / ตัน จ่ายให้กับทหารพม่า เมื่อมีการขนแร่ผ่านในอัตรา 50 บาท / ตัน
อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองแร่ จำเป็นต้องปรับปรุงเส้นทางหรือตัดพื้นที่ในการทำเส้นทางใหม่ เพื่อนำรถบรรทุกเข้าไปขนแร่เข้าประเทศไทย ซึ่งการปรับปรุงหรือทำเส้นทางใหม่ จะต้องเอื้ออำนวยต่อทหารพม่า ในการเคลื่อนย้ายกำลัง และ อาวุธยุทโธปกรณ์ ในการเข้าปราบปรามชนกลุ่มน้อยตามพื้นที่ต่างๆ หรือตามแนวชายแดนไทย – พม่า ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
นั่นเป็นแค่ 1 ใน 5 บริษัท ที่ทำสัมปทานแร่ รวมไปถึง การขนส่งเครื่อง “อุปโภค-บริโภค” ที่ต้องเสียค่า “ต๋ง” ให้ชนกลุ่มน้อย แม้คุณภาพเหล็กที่ขุดขึ้นมาไม่ได้มาตรฐานพอ แต่บริเวณดังกล่าวยังมี “แร่พลวง” ซึ่งมีมูลค่าพอสมควร และยังมีทรัพยากรธรรมชาติอีกมากที่อยู่ในพื้นที่เขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ที่นักธุรกิจ และ ผู้ประกอบการ ยังมีช่องเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม
อย่าลืมว่า รายได้ของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เป็นส่วนที่นำไปพัฒนาพื้นที่ ช่วยเหลือชาวบ้าน ถือเป็นงบประมาณที่ต้องบริหารและเลี้ยงตัวเองด้วย ดังนั้นหากมีการจัดระเบียบชายแดนของรัฐบาล ทุกสัญญาสัมปทานต้องผ่านรัฐบาลที่กรุงเนย์ปิดอร์ อำนาจก็จะถูกรวมศูนย์ทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ปฏิบัติการดิ้นของ "นะคะมวย" จึงเป็นการต่อรองเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก ไม่เกี่ยวโดยตรงกับสถานะทางการเมืองในอนาคตที่ต้องมุ่งไปสู่สนามเลือกตั้งเพื่อเป็นตัวแทนมวลชนของกลุ่มในสภาฯ
ซึ่งต้องยอมรับว่าอนาคตอันใกล้ “พม่า” จะเข้าสู่โหมดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย โปรเจ็คส์ที่มีการพูดคุยระหว่าง “ไทย” กับ “พม่า” มายาวนาน แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ โดยเฉพาะการก่อสร้างเส้นทาง ทวาย- น้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ซึ่งต้องผ่านพื้นที่อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย
โดยแค่ช่วงเปิดโครงการที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ในฐานะนายกสมาคมวัฒนธรรม และ เศรษฐกิจไทย-พม่าไปทำพิธีตัดริบบิ้น ก็เกิดเหตุระเบิดไล่หลัง จนโครงการสร้างถนนดังกล่าวหยุดชะงัก
นางอมริสา ตัณสถิตย์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย – พม่า อดีตกรรมการที่ปรึกษาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เปิดเผยว่า ผลประโยชน์บริเวณแนวชายแดนมีมานาน และ นักธุรกิจ จากข้อมูลพบว่า พล.อ.นะคะมวย ทำเรื่องพวกนี้มาเป็น 10 ปี จนขยับขึ้นมาเป็นใหญ่ แต่เขาก็ต้องมีคนหนุนหลัง รายได้ที่ได้มาไม่ว่าจะเก็บต๋ง เก็บส่วย เขาต้องนำมาพัฒนาพื้นที่ เอาข้าวของไปแจกให้ชาวบ้านในเขตอิทธิพลของเขา จริงๆ แล้วสินค้าขายดีตลอดกาลที่พ่อค้าฝั่งไทยนำเข้าไปขายก็คือ ผงชูรส และ น้ำมัน เพราะคนพม่าจะบริโภคของเหล่านี้คลุกข้าว นอกจากนั้น ก็เป็นสิ่งของอุปโภค บริโภคอื่น อุปกรณ์ก่อสร้าง เป็นต้น
“ต่อไปในอนาคต เมื่อประเทศพม่าจัดระเบียบชายแดน ทุกอย่างรวมศูนย์ทุกอย่างต้องผ่านการทำสัญญากับรัฐบาลกลาง จริงๆ พม่าเขาวางแผนว่าเขาจะย้ายเมืองหลวงเมื่อไหร่ เปิดประเทศเมื่อไหร่ เปิดประเทศยังไง ท่าเรือน้ำลึกที่ทวายจะสร้างแบบไหน เมื่อไหร่ เขาวางไว้หมด เพียงแต่เขาจะไว้ใจทำกับใครเท่านั้น “นางอมริสา ระบุ
น่าสนใจว่าการพัฒนาพื้นที่ของพม่า จะถูกจัดโซนอย่างไร เพราะขุมข่าวด้านความมั่นคง ระบุว่า รัฐบาลพม่ามี “โรดแม็ป” ที่ได้ขีดเส้นบนแผนที่ในการจัดวางผลประโยชน์ไว้หมดแล้ว เพียงแต่การเจรจากับกลุ่มที่ยังไม่สวามิภักดิ์ จะนำผลประโยชน์เหล่านั้นไปต่อรองอย่างไร และ รัฐส่วนกลางจะได้ส่วนแบ่งอย่างไรเท่านั้น
ปรากฎการณ์ “นะคะมวย” ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาแม้จะเป็นภาพใหญ่ของเรื่องการเมือง แต่หากมองลึกลงไปแล้ว ก็หนีไม่พ้น การขยายภาพผลประโยชน์ทีเกิดขึ้นในพื้นที่ปลอดอำนาจรัฐส่วนกลาง และ เกมการต่อรองทางการเมือง ของกลุ่มผลประโยชน์ ที่อนาคตอันใกล้กำลังจะถูกการรวมศูนย์การบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีคำว่าประชาธิปไตยเป็นใบเบิกทาง
