ศาลฯสั่งกทม.จ่ายญาติเหยื่อซานติก้า
ศาลปกครองกลางสั่ง กทม.จ่ายค่าชดใช้ญาติ 5 เหยื่อเพลิงไหม้ซานติก้าผับเกือบ 1 ล้าน ชี้ละเลยต่อหน้าที่ปล่อยให้ใช้อาคารผิดแบบเป็นสถานบันเทิง
วันที่ 18 พ.ค.55 เวลา 10.00 น. ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลโดยนายชวลิต ลาภผล ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง พร้อมองค์คณะ มีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฎิบัติ จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้กับนายประเสริฐ คุ้มผล ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นบิดาของ น.ส.ภัชรีย์ คุ้มผล ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เพลิงไหม้อาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย เมื่อคืนวันที่ 1มกราคม 2552 เป็นเงินจำนวน 212,000 บาท โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เหตุเพลิงไหม้อาคารซานติก้าผับเมื่อคืนวันที่ 1 มกราคม 2552 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้ง น.ส.ภัชรีย์ บุตรสาวผู้ฟ้องคดีเสียชีวิตก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย อันเป็นผลมาจากการละเลยต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี ปล่อยให้มีการก่อสร้างและดัดแปลงอาคารเป็นสถานบันเทิงโดยไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 รวมทั้งกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่ให้ผู้ฟ้องคดีต้องปฏิบัติ แต่อาคารซานติก้า มีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียวและไม่มีช่องระบายอากาศเพียงพอ เมื่อเกิดเพลิงไหม้จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ศาลปกครองพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างดัดแปลงอาคาร รวมทั้งออกใบรับรองให้ใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ย่อมต้องทราบหรือควรจะทราบว่า อาคารสถานบันเทิงซานติก้าผับ ได้ทำการก่อสร้างและดัดแปลงผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร กรณีจึงถือได้ว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฎิบัติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตาม ม.420 ป.แพ่งและพาณิชย์
แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดเพลิงไหม้อาคารดังกล่าวจะพบว่า เกิดจากมีการจุดดอกไม้เพลิงขึ้นไปบนซุ้มหน้าเวที ซึ่งถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าของอาคาร และเจ้าของอาคารยังทำการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีป้ายบอกทางออกและทางหนีไฟ ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ จึงเห็นควรให้กรุงเทพมหานครผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีที่เกิดจากการเสียชีวิตของ น.ส.ภัชรีย์ เป็นจำนวนร้อยละ 20 ของค่าเสียหายทั้งหมด พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน212,000 บาท โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
นอกจากนี้ ศาลปกครองกลางยังได้มีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดี ในความผิดลักษณะเดียวกัน จ่ายค่าสินไหมให้กับญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เพลิงไหม้ซานติก้าผับ ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีอีก 4 ราย โดยให้กรุงเทพมหานคร จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับ นายหนูสิน แสนเมืองชิน บิดา นายปุณณรัตน์ แสนเมืองชิน ผู้เสียชีวิต จำนวน 139,600 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ให้กรุงเทพมหานครจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนางวรรณา ซำคง มารดาของ น.ส.วัลยา ซำคง ผู้เสียชีวิต จำนวน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2552 โดยให้ชำระภายใน 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ให้กรุงเทพมหานครจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแปลก บัวมาก มารดาของ น.ส.พรรณทิพา บัวมาก ผู้เสียชีวิต จำนวน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2552 โดยให้ชำระภายใน 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้กรุงเทพมหานครจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนางมณี หวังทวีวงศ์ มารดาของนายทรงพล หวังทวีวงศ์ ผู้เสียชีวิต จำนวน 164,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2552 โดยให้ชำระภายใน 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ภายหลังนายหนูสิน หนึ่งในผู้ฟ้องเปิดเผย ว่าพอใจกับคำตัดสินและค่าเสียหายที่ได้รับและคงจะไม่อุทธรณ์ต่อ เพราะอยากให้เรื่องนี้จบทุกฝ่าย ขณะที่นายชัยรัตน์ แสงอรุณทนายความของผู้ยื่นฟ้องเปิดเผยว่ายังเหลืออีก 12 คดี ที่คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ส่วน 5 คดีนี้หลังมีคำพิพากษาก็สามารถอุทธรณ์ได้แต่ต้องกลับไปหารือก่อน ส่วนค่าสินไหมทดแทนที่ไม่ได้ตามจำนวนที่ยื่นฟ้องนั้น เพราะศาลพิจารณาเห็นว่ากรุงเทพมหานครไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเพียงการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ศาลจึงพิจารณาให้จ่าย 20% เท่านั้น
