บันทึกความจริงที่กสม. :กรณีร่างรายงานการชุมนุมนปช.ที่หมดสภาพก่อนคลอด

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีคำถามถึงรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกสม. ในกรณีเหตุการณ์การชุมนุมของนปช.หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๕๓ แต่จนบัดนี้รายงานของกสม.ยังไม่มีวีแววว่าจะออกมาสู่สาธารณะ ล่าสุดองค์กร Human Rights Watch ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านไปครบ ๒ ปี ว่า ได้รับผลกระทบและครอบครัวยังคงไม่ได้ความเป็นธรรมคืนมา แถลงการณ์ตอนหนึ่งกล่าวถึงการจัดทำรายงานสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ทั้ง กสม. และ คอป. ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมายังคงไม่สามารถสืบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ให้แล้วเสร็จได้เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ประกอบกับความไม่ไว้วางใจ และขาดความร่วมมือ จากผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์ การดำเนินงานขององค์กรทั้งสองมีอุปสรรคอันเนื่องจากระบบราชการภายใน อีกทั้งการขาดเจตจำนงค์ทางการเมืองขององค์กรเองในระดับวิกฤต ในการที่จะสอบสวนเจ้าหน้าที่ ของรัฐ และแกนนำ นปช. อย่างเต็มที่และให้น่าเชื่อถือ
ในขณะที่นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กร Human Rights Watch ประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนต่อมาว่า สังคมไทยโชคร้ายกว่าสังคมอื่นทั่วโลกที่เคยเผชิญความขัดแย้งกันมา เพราะคนไทยไม่มีโอกาสแม้กระทั่งรู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เราเพียงแต่รู้กันนัยๆ ว่าใครน่าจะเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่มีข้อเท็จจริง ที่ยอมรับกันโดยทุกฝ่าย ว่าเรื่องคืออะไร คู่ขัดแย้งคือใครกันแน่ แล้วคู่ขัดแย้งเหล่านั้น มีบทบาทอย่างไร สร้างความเสียหายแค่ไหน ... ฉะนั้น เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นคู่ขัดแย้ง เราจึงทวงหาความรับผิดชอบไม่ได้ แล้วยิ่งกว่านั้น คนที่เป็นเหยื่อ ทั้งในทางตรงทางอ้อม ก็จะแสวงหาความยุติธรรมไม่ได้เลย เพราะไม่รู้จะไปแสวงหาจากใคร ... สิ่งที่ช่วยได้ก็คือ ต้องมีชุดของข้อเท็จจริงที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง แต่ปัญหาก็คือ ชุดข้อเท็จจริง ที่เป็นอิสระและเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นกลางในบ้านเมืองเรามันไม่ยอมคลอดเสียที การทำงานของ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ยังไม่สามารถทำงานผลิตรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาได้ ผ่านมา 2 ปีแล้ว การทำงานของ “คอป.” ก็ยังไม่สามารถผลิตรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาได้
ซึ่งจริงๆ ทั้ง 2 องค์กร ก็มีภาระที่จะต้องชี้แจงต่อสังคมว่า ผ่านมาแล้ว 2 ปีรายงานอยู่ที่ไหน มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ก็ต้องบอกให้สังคมรู้ ทำงานไปกี่เปอร์เซนต์แล้ว แล้วจะเสร็จเมื่อไหร่
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมคุณแม่ของน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงตายขณะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บบริเวณวัดปทุมฯ และไม่นับรวมคุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ออกมาทวงถามความคืบหน้าของรายงานหรือคดีจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนว่ามีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)รวมอยู่ด้วย
จนบัดนี้ยังไม่มีคำยืนยันใดๆจากกสม.หรือประธานกสม.ว่ารายงานจะแล้วเสร็จเมื่อใด มีกรรมการบางคนที่มักออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในเรื่องนี้ แต่ข้อมูลที่ออกสู่สาธารณชนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาโดยตลอด
สังคมไทยได้จดจาว่าในช่วงแรกของการชุมนุมของนปช. กสม.ได้แสดงบทบาทเชิงรุก โดยการทำหน้าที่ในการเป็นคนกลางเชื่อมโยงให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน หรือให้มีการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา๖๓ โดยศาสตราจารย์อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกสม.และกรรมการบางท่าน ได้ไปพบกับแกนนำนปช.ที่โรงแรมปริ้นเซส หลานหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่แกนนำนปช.เป็นผู้กำหนด การเจรจาได้ข้อตกลงในระดับที่น่ายินดีที่แกนนำนปช.ซึ่งประกอบด้วยนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เป็นอาทิ ตกลงว่าจะชุมนุมอย่างสันติและขอให้ทางกสม.นำความไปเจรจาต่อรัฐบาลให้เคารพกติกาด้วย และขอว่าอย่าใช้ความรุนแรงในการปราบปรามการชุมนุม
ต่อมาทางประธานกสม.และคณะ ได้ไปพบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ที่กรมทหารราบที่๑๑ หรือ ร.๑๑ รอ. ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทางฝ่ายรัฐบาลกาหนด (เช่นเดียวกับที่ฝ่ายแกนนำนปช.กำหนดสถานที่ก่อนหน้านี้) โดยครั้งแรกตกลงสถานที่แห่งหนึ่งบริเวณศูนย์ราชการ ต่อมาด้วยเหตุผลความปลอดภัยจึงต้องเปลี่ยนสถานที่มาเป็นที่กรมทหารราบที่๑๑ ทางกสม.ได้เสนอกรอบการชุมนุมเช่นเดียวกับที่เสนอต่อแกนนำนปช.และนำข้อเสนอจากแกนนำนปช.เสนอต่อรัฐบาล โดยขอคำมั่นต่อรัฐบาลว่าอย่าใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม
นายอภิสิทธิ์ฯ ขานรับข้อเสนอดังกล่าวด้วยดี ต่อมาเริ่มมีการหารือเพื่อตั้งโต๊ะเจรจากัน ในที่สุดนำไปสู่การดีเบทกันทางโทรทัศน์สองครั้ง ซึ่งผู้ชำนาญในการเจรจาได้แสดงความเห็นว่าเป็นการโต้วาทีต่อหน้าสาธารณะที่ต้องการเอาชนะคะคานกัน หากต้องการเจรจาเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายปัญหา จะต้องใช้กระบวนการที่ถูกต้องและเหมาะสม ในที่สุดการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงประสบความล้มเหลว นำไปสู่การปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่รัฐถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากดังที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
หลังเหตุการณ์การชุมนุมได้ยุติลง กสม.จึงได้หยิบยกเรื่องการชุมนุมของกลุ่มนปช.ในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการชุมนุมมาพิจารณาตรวจสอบการละเมิดสิทธิ เพื่อจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสาธารณชนโดยทั่วไป โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาถึงสามชุด จากแหล่งข่าวภายในระบุว่ามีการโต้เถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างกรรมการด้วยกัน เพราะกรรมการบางท่านเห็นว่าการตั้งคณะอนุกรรมการถึงสามชุดแทนการตั้งเพียงชุดเดียวนั้น จะทำให้การทำงานซ้ำซ้อนกันและมีลำดับชั้นการทำงานมากเกินไป ที่สำคัญคือการกำหนดองค์ประกอบให้มีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาเป็นอนุกรรมการ จะทำให้ไม่สามารถค้นหาความจริงได้ และจะมีการโต้แย้งกันไม่ยอมรับข้อสรุป เพราะมีผู้แทนของผู้ชุมนุม ผู้แทนรัฐบาล นักวิชาการและสื่อมวลชนทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและฝ่ายรัฐบาล ในที่สุดประธานกสม.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้งสามชุดที่มีองค์ประกอบดังกล่าว วันต่อมากรรมการท่านหนึ่งลาออกจากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจชุดหนึ่ง จนต้องแต่งตั้งกรรมการท่านอื่นเข้าไปแทน
แต่ต่อมาภายหลังกรรมการที่ลาออกกจากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯผู้นี้ ได้นาเอกสารร่างรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯ กรณีการชุมนุมนปช. ซึ่งเป็นเอกสารลับทางราชการ เข้าไปพิจารณาในคณะอนุกรรมการชุดหนึ่งที่ตนเองเป็นเป็นประธาน โดยที่คณะอนุกรรมการชุดนี้ไม่มีหน้าที่ ในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯกรณีการชุมนุมของนปช. แล้วนาความเห็นของอนุกรรมการบางท่าน ในคณะอนุกรรมการฯชุดนี้เข้าไปเสนอในที่ประชุมกสม.เพื่อคัดค้านไม่ให้มีการรับรองร่างรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯที่กสม.ได้พิจารณามาแล้วหลายครั้ง ดังจะได้เสนอรายละเอียดต่อไป
หากพิจารณาจากกระบวนการจัดทำร่างรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช. ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๕๓ แล้วอาจทำให้เชื่อได้ว่ามีการแทรกแซงจากการเมืองภายนอก ประกอบกับการขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมของกรรมการบางท่าน ที่สาคัญคือการขาดการนำองค์กรให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยสังเกตได้จากกลไก กระบวนการดำเนินของกสม.ดังต่อไปนี้
เมื่อกสม.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจจานวนสามชุดตามคำสั่งที่๔๗/๒๕๕๓,ที่๔๙/๒๕๕๓ และคำสั่งที่๕๐/๒๕๕๓ลงวันที่๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เพื่อพิจารณาตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่มนปช. โดยมีวาระการทำงาน ๔ เดือน ต่อมากสม.ได้มีคำสั่งที่๕๗/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานกสม.ให้ทำหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จำนวน ๓๐ ท่าน เพื่อทำการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมกันนี้สำนักงานกสม.ได้มีคำสั่งที่ ๖๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ แต่งตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่มนปช. ประกอบด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นและยังมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกอีก ๔ ท่าน (ประกอบด้วยศาสตราจารย์ อัยการและทนายอาวุโส) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะทำงานฯ โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานเป็นเลขานุการ คณะทำงานฯ และที่ปรึกษาได้ร่วมกันทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากพยานหลักฐานทั้งหมด
เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมเฉพาะกิจทั้ง ๓ ชุดดังกล่าวข้างต้นต่อไป แต่ปรากฎว่าในช่วง ๔ เดือนแรก การรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปด้วยความยากล ลำบาก ทำให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง ๓ ชุดไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้เพราะมีวาระแค่ ๔ เดือน ต่อมาเมื่อคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานฯ ได้จัดทำร่างรายงานแล้วเสร็จ (ประชุม๑๗ครั้ง เริ่มประชุมครั้งแรกวันที่๔มิถุนายน๒๕๕๓) ประธานกสม.ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะทำงานฯหลายครั้งจนได้ร่างรายงานการตรวจสอบขึ้นมาสองฉบับกล่าวคือฉบับที่มีบันทึกพยานหลักฐานครบถ้วนความยาวกว่าสามร้อยหน้าและฉบับที่มีเฉพาะเนื้อหาสาระที่นาไปสู่ข้อค้นพบมีความยาวประมาณ ๘๐ ถึง ๙๐ หน้า) ประธานกสม.เห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยมาเนิ่นนานพอสมควรแล้วจึงขอให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ทั้ง๓ชุดพร้อมกับกสม.ทั้งคณะ โดยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง ๓ ชุดใหม่โดยตั้งจากชุดเดิมทั้งหมด
(เนื่องจากชุดเดิมมีวาระแค่ ๔ เดือน และได้หมดวาระลงไปแล้ว จึงเป็นการออกคำสั่ง เพื่อต่ออายุ ให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้) โดยประธานกสม.ให้นำร่างรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯดังกล่าวที่จัดทำโดยคณะทำงานฯเสนอต่อที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น.ณ ห้องประชุมแคนนา โรงแรมรามา การ์เด้น กรุงเทพฯ โดยเป็นการประชุมลับ ในการประชุมดังกล่าวมีประธานกสม.ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม และเลขาธิการกสม.ทำหน้าที่เลขานุการ ที่ประชุมได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในทุกแง่มุม ก่อนปิดการประชุมประธานกสม.ได้กล่าวขอบคุณคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง ๓ ชุดและได้บอกว่าจะไม่มีการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้งสามชุดอีก และทางฝ่ายเลขานุการจะนำความเห็นที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ไปปรับปรุงแก้ไขร่างรายงานเพื่อนำเสนอกสม.พิจารณาต่อไป ต่อมาทางคณะทำงานฯได้จัดประชุมในวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยนำความเห็นดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขร่างรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯ เพื่อเตรียมนำเสนอต่อกสม.อีกครั้ง
ต่อมากสม.ได้จัดประชุมนัดพิเศษในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการตรวจสอบ การละเมิดสิทธิฯ ในการประชุมกสม.นัดพิเศษครั้งนั้น ประธานกสม.ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า รายงานฉบับนี้ ทาให้ประธานสู้หน้าใครต่อใครได้(แสดงความพอใจคุณภาพของรายงานทั้งในที่ประชุมและนอกห้องประชุม ก่อนหน้านี้ มีพยานบุคคลยืนยัน) นอกจากนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯอ่านให้ที่ประชุมฟังในแต่ละเหตุการณ์ทุกบรรทัดเพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อการพิจารณาผ่านไปประมาณ ๑๐ นาทีมีกรรมการท่านหนึ่งเดินออกจากที่ประชุม และไม่กลับเข้ามาพิจารณาอีกเลย(ต่อมาภายหลังกรรมการท่านนี้แสดงความไม่พอใจรายงานฉบับนี้อย่างมาก โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่รายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่ตารวจไม่ทำหน้าที่หรือละเลยเพิกเฉยต่อการปฎิบัติหน้าที่) ที่ประชุมกสม.ให้ความเห็นอย่างกว้างขวาง ในที่สุดประธานที่ประชุมได้สรุปว่าให้นาความเห็นของกรรมการไปปรับปรุงแก้ไขร่างรายงานฯอีกครั้งหนึ่ง
แล้วให้นำเข้าพิจารณาอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้าคือวันพุธที่ ๖ กรกฏาคม ๒๕๕๔ แหล่งข่าววงในกสม.ระบุว่าเลขาธิการกสม.ได้มีการสอบถามประธานกสม.ว่าประชุมครั้งหน้านี้(๖กค๕๔) เป็นการประชุมพิจารณาเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย จึงขอนัดแถลงข่าวรายงานผลการตรวจสอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช.ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๕๓ ในวันศุกร์ที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ที่โรงแรมรามา การ์เด้น ประธานกสม.ได้เห็นชอบตามที่เลขาธิการกสม.เสนอ ต่อมามีรายงานว่าเลขาธิการกสม.จึงได้เตรียมการประสานงานในด้านสถานที่ การดูแลความปลอดภัย และสื่อมวลชน
ต่อมาเมื่อมีการประชุมกสม.นัดพิเศษในวันพุธที่ ๖ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นการประชุมที่ประธานกสม.ได้บอกล่วงหน้าในที่ประชุมครั้งก่อนว่าในการประชุมครั้งนี้จะพิจารณา
ประเด็นที่ทางกสม.ให้ความเห็นแล้วให้ฝ่ายเลขานุการนาไปปรับแก้ แล้วนาเสนอให้ที่ประชุมกสม.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฎเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนคือ กรรมการท่านหนึ่งได้นาความเห็นจากคณะอนุกรรมการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องนี้มาเสนอต่อ ที่ประชุมกสม.เพื่อคัดค้านร่างรายงานฉบับที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง๓ชุดและกสม.ได้พิจารณาร่วมกัน และได้ให้ความเห็นมาแล้ว อีกทั้งเป็นการกระทาที่ผิดระเบียบการรักษาความลับทางราชการเพราะได้นาเอกสารประทับตราลับไปแจกในที่ประชุมคณะอนุกรรมการ(ที่ไม่มีหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องนี้ดังกล่าวแล้ว)ที่กรรมการท่านนั้นเป็นประธาน นอกจากนี้กรรมการท่านอื่นได้บอกให้ทบทวนร่างรายงานฯใหม่เพราะหากออกไปเช่นนี้กรรมการต้องไปขึ้นศาลอย่างแน่นอน ทั้งที่ในการประชุมครั้งที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ได้เสนอให้ปรับแก้ตามประเด็นต่างๆซึ่งทางฝ่ายเลขานุการได้ปรับมาแล้ว นอกจากนี้ กรรมการบางท่านเสนอว่าให้นากลับไปให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง๓ชุดพิจารณาใหม่ ทั้งๆที่ประธานกสม.ได้กล่าวไว้ชัดเจนก่อนปิดประชุมในวันที่๒๙มิถุนายน๒๕๕๓ณโรงแรมรามา การ์เด้น ว่าขอบคุณคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง๓ชุดและจะไม่มีการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจอีกแล้ว นอกจากนี้ยังให้ทางเลขาธิการกสม.ทาหนังสือขอบคุณคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจดังกล่าวด้วย เมื่อเลขาธิการกสม.ยืนยันว่าขั้นตอนของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง๓ชุดได้สิ้นสุดลงแล้ว กรรมการท่านนั้นยังยืนยันความคิดเช่นเดิมและได้ไปให้ข่าวต่อในสื่อต่างๆ อาทิ หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รวมทั้งทางโทรทัศน์ว่าร่างรายงานฯที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชนนั้น ทางกสม.ยังไม่ได้พิจารณา เป็นเพียงอยู่ในชั้นคณะทางานฯเท่านั้น นับเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างไม่รับผิดชอบ ที่น่าแปลกใจก็คือประธานกสม.ก็ไม่ได้ยืนยันในกระบวนการดาเนินงานที่ผ่านมาตามความเป็นจริงต่อที่ประชุมกสม.ในวันนั้น
เมื่อกรรมการท่านอื่นรวมทั้งประธานกสม.ไม่ได้ดาเนินการใดๆต่อ ตามมติกสม.ครั้งที่ผ่านมา เลขาธิการกสม.จึงได้กล่าวต่อที่ประชุมว่าขอยุติเรื่องนี้เพราะไม่สามารถดาเนินการต่อไปได้ (ทารายงานให้แล้วเสร็จ) และเป็นที่มาของรายงานข่าวต่อมาว่าเลขาธิการกสม.ได้ออกมากล่าวขอโทษต่อสื่อมวลชนที่ได้นัดไปล่วงหน้า ว่าจะมีการแถลงข่าวในเรื่องนี้เพราะว่ามีเหตุจาเป็นบางประการทาให้ต้องเลื่อนการแถลงข่าวออกไป
หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับมีหนังสือพิมพ์สองฉบับรายงานข่าวในทางว่านายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการกสม.ได้นาเสนอและสรุปผลการตรวจสอบการละเมิดฯของร่างรายงานฯทั้งฉบับต่อที่ประชุมกสม.ในวันที่๖กรกฎาคม๒๕๕๓ ในขณะที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเลขาธิการกสม.ไม่มีโอกาสได้นาเสนอเนื้อหาของร่างรายงานฯแต่อย่างใด และมีความพยายามที่จะกล่าวว่าร่างรายงานดังกล่าวเป็นร่างรายงานของเลขาธิการกสม. ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือหนังสิอพิมพ์ทั้งสองฉบับได้ข้อมูลร่างรายงานฯซึ่งเป็นเอกสารราชการลับมาเผยแพร่ และมีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเลขาธิการกสม.มาตลอด รวมทั้งเปิดพื้นที่หรือเปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มสามารถบงการบีบคั้นกดดันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญไม่ให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระ โดยที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ไม่สามารถดาเนินการทางจริยธรรมได้ ต่อเมื่อมีบุคคลหรือคณะบุคคลโดยการแต่งตั้งของสภาการ
หนังสือพิมพ์แห่งชาติทาการสอบสวนได้ความจริงว่าสื่อบางสานักไม่มีความเป็นกลางในการเสนอข่าวการเลือกตั้งครั้งล่าสุด สื่อสานักนี้ก็แสดงอานาจบาตรใหญ่ออกมาทาลายความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น โดยเชื่อมโยงมาทาลายนายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการกสม.เพื่อทาลายความน่าเชื่อถิอรายงานการตรวจสอบฯกรณีการชุมนุมนปช.ที่กาลังอยู่ระหว่างการดาเนินการ ต่อมานายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์จึงได้แจ้งความดาเนินคดีกับสื่อฉบับนั้น
จนถึงปัจจุบันร่างรายงานฉบับนี้ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งๆที่ร่างรายงานนี้จัดทาแล้วเสร็จมากว่า๑๐เดือนแล้วเพียงแต่มีความเห็นจากกรรมการบางท่านและที่ปรึกษากสม.ว่าให้ปรับแก้สานวนให้เหมาะสม ส่วนเนื้อหาสาระไม่ต้องปรับแก้อีกแล้ว (หากปรับแก้เฉพาะภาษาสานวนให้เหมาะสมก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์รายงานฉบับนี้ก็สามารถเสนอต่อสาธารณชนได้) แต่ข้อสรุปในการประชุมแต่ละครั้งเปลี่ยนไปมาจนไม่สามารถนาไปสู่ข้อยุติได้ ข้าราชการที่ทาหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการต่างเชื่อว่ามีความพยายามเตะถ่วงโดยการหาเรื่องให้ไปสืบค้นข้อมูลที่
ไม่สามารถสืบค้นได้อีกโดยตั้งคาถามที่แตกประเด็นไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น มีความพยายามทาสานวนให้อ่อนลงหรือพยายามเปลี่ยนข้อสรุปแต่ดาเนินไปด้วยความยากลาบาก
เพราะหลักฐานที่ฝ่ายเลขานุการนามายืนยันทาให้ไม่สามารถสรุปเป็นอื่นได้ การเตะถ่วงให้รายงานฯออกช้าที่สุดอาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองที่ถือครองอานาจรัฐอยู่ในขณะนี้ อาจจะเป็นความต้องการของกรรมการบางท่านที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม อาจจะเป็นความต้องการของกรรมการบางท่านที่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกลุ่มแก๊งอันธพาลการเมือง
ที่ข่มขู่คุกคามองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ถึงขนาดขู่ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆโดยไม่นำพาถึงความถูกต้องชอบธรรม การที่เลขาธิการกสม.ได้ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการดังกล่าวแล้วข้างต้น นาความไม่พอใจอย่างมากมาสู่กรรมการกลุ่มหนึ่งที่กล่าวหาว่าทาให้กสม.เสียชื่อเสียงและทาให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปสู่สาธารณชน ทั้งๆที่มีหลักฐานปรากฎชัดแล้วว่าใครที่ไม่ปฎิบัติตามระเบียบการรักษาความลับทางราชการ ในที่สุดหลังจากนั้นไม่นานนายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ก็ถูกปลดพ้นจากตาแหน่งเลขาธิการกสม.อีกครั้งหนึ่ง โดยที่นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนโดยสรุปว่าเกิดจากการไม่พอใจในเรื่องการจัดทารายงาน การชุมนุมนปช.และการก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจา ซึ่งเป็นอานาจของเลขาธิการกสม. และว่าตนไม่รู้สึกเสียใจใดๆเพราะเดิมทีก็ไม่ได้สมัครมาเป็นเลขาธิการกสม.อีก เพราะรู้ดีว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง แต่เป็นเพราะความดีของท่านอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งที่ตนเคารพ ท่านขอร้องแกมบังคับให้รับตาแหน่งเพื่อช่วยแก้ปัญหาในองค์กรที่อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถทางานให้เป็นไป
ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้
หลังจากนั้นกสม.ได้ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีกประมาณสิบท่านมาประชุมร่วมกับกสม.ในช่วงแรกมีการประชุมทุก
สัปดาห์ ต่อมาทุกสองสัปดาห์ประชุมกันทั้งสิ้นประมาณ ๖ ครั้ง แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างเดิมได้ อีกทั้งได้เชิญบุคคลสำคัญมาให้ข้อมูลและพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นบางท่าน แต่ส่วนหนึ่งปฎิเสธที่จะมาให้ปากคำเนื่องจากเห็นว่ารายงานออกมาในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว กสม.จึงประชุมกันเองอีกประมาณ ๕ ครั้งก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ขนาดที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายเลขานุการบางคนถือโอกาสไปราชการต่างจังหวัดหรือไปราชการในภารกิจอื่น
เพื่อไม่ต้องเสียเวลาเข้าประชุมที่หาข้อสรุปอันใดไม่ได้ อีกทั้งรู้สึกละอายใจต่อความพยายามสรุปร่างรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯโดยไม่กล้าระบุว่า
บุคคลหรือหน่วยงานใดเป็นผู้กระทำหรือละเมิดการกระทำ ซึ่งต่างจากรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯในประเทศต่างๆทั่วโลก ที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าการกระทำหรือละเลยการกระทำของบุคคลหรือหน่วยงานใดในแต่ละเหตุการณ์ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ นำไปสู่การละเมิดสิทธิฯหรือไม่แค่ไหนเพียงใด เพื่อนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย มาตรการทางกฎหมายและมาตรการอื่นๆต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรี ต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อไป ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี
กสม.ได้ถือกำเนิดจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อกสม.ชุดแรกมีการดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่งก็อ้างว่าไม่มีอำนาจ ทำให้ทำงานไม่เกิดผลงานออกมาเป็นที่ประจักษ์ ที่สาคัญคือไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน หลักฐานที่สาคัญคือผลสารวจประจำปีของสถาบันพระปกเกล้า กสม.สอบตกได้คะแนนไม่เกินครึ่งหนึ่งและได้อันดับรองสุดท้ายทุกครั้งไป โดยมีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่หมดสภาพไปแล้วอยู่อันดับท้ายสุด ต่อเมื่อมีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้ให้อำนาจแก่กสม.อย่างกว้างขวางที่อาจกล่าวได้ว่ามากกว่ากสม.ในประเทศต่างๆเป็นส่วนใหญ่คือมีอำนาจหน้าที่เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ต่อศาลปกครอง และฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วกสม.ชุดที่สองยังจะมีข้ออ้างเช่นกสม.ชุดที่หนึ่งอีกหรือไม่ หรือว่ากำลังเดินไปสู่เส้นทางที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เดินไปก่อนหน้านี้แล้ว
