เมื่อประสาร ประสาน วีรพงษ์ เรื่องแบงก์ชาติ คงไม่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ชาวไทยก็ได้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ท่านใหม่ คือ ท่าน ดร.วีรพงษ์ รามางกูร นับว่า น่าจะทำให้คนไทยสบายใจ ถึงขุมกำลังสติปัญญา เมื่อได้ประสานกับ ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ของเรา
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในแผนกวิชาการคลัง โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง (ซึ่งต่อมาคือ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
หลังจากจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2508 ดร.วีรพงษ์ ได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในฐานะผู้บุกเบิกสร้างแผนกอิสระสื่อสารมวลชนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเป็นคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ดร.วีรพงษ์ ได้ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ จบปริญญาโท และปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
ดร.วีรพงษ์ ได้เข้าเป็นอาจารย์สอนที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นอาจารย์คนแรกของไทยที่สอนทางด้านเศรษฐมิติ ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วน ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุลได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2517 (ที่ 1 ประเทศไทย) ท่านจบระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ปี พ.ศ. 2519 หลังจากนั้น ท่านได้สำเร็จปริญญาโท Master in Business Administration (MBA) และ ระดับปริญญาเอก Doctor of Business Administration (MBA) จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. 2521 และ ปี พ.ศ. 2524 ตามลำดับ
ในเหตุการณ์วิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ขณะนั้นนายประสารเป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เจรจากับรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา 13 คนเป็นผลลำเร็จ
ด้านงานภาครัฐ ดร.วีรพงษ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ที่ปรึกษาของทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
ส่วน ดร. ประสาร เคยเป็นผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการ กลต. และ เป็น ผู้ว่าการ ธปท. ในปัจจุบัน
ด้านประสบการณ์ในการบริหารสถาบันการเงิน ดร. วีรพงษ์ เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด หรือ แบงก์บีบีซี ตั้งแต่ปี 2535 ก่อนวิกฤตสถาบันการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
ส่วน ดร. ประสารเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ตั้งแต่ปี 2547-2553
เมื่อดูแล้ว เราชาวไทยคงวางใจได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องนับว่า ทั้งสองมีความสามารถสูง และอาจไม่เห็นทุกเรื่องไปทางเดียวกันทั้งหมด ผมเชื่อว่า สิ่งที่ดีที่สุด คือ การให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และเหตุผลเป็นหลัก เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศชาติและประชาชน
ส่วนตัวผมเองมีความเห็นเป็นเบื้องต้น บางเรื่องจากบทเรียนเก่าๆของประเทศ ดังนี้
1. ร่วมกันปกป้องทุนสำรองของประเทศ ในยุควิกฤตเศรษฐกิจประมาณปี 2540 ได้มีการบริหารกองทุนสำรองระหว่างประเทศในท่ามกลางความท้าทาย มีการโจมตีค่าเงินบาท และมีการปกป้องค่าเงินบาทที่ขาดความยืดหยุ่น และอาจจะขาดความโปร่งใส เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับนักการเมือง และอาจมีความเกี่ยวข้องกับกองทุนลับในต่างประเทศ ในที่สุด ธปท. ต้องขาดทุนจากการปกป้องค่าเงินบาทจำนวนมหาศาล และอาจเป็นเหตุให้เห็นเงินลับในต่างประเทศของนักการเมืองไทยจำนวนมหาศาล โดยความเสียหายนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยสุทธิ เคยตกต่ำลงเหลือเพียง 7 พันล้านเหรียญ สรอ. ทั้งๆที่ ก่อนหน้านั้น ในสภาวะปรกติ ควรมีประมาณ ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญ
ในช่วงปีที่แล้ว ประเทศไทย เคยมีทุนสำรองสูงถึง 1.9 แสนล้านเหรียญ เป็นอันดับ 13 ของโลก ถือเป็นอันดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา ก็หวังว่า ท่านประธานและท่านผู้ว่า ธปท. จะสามารถร่วมกันปกป้องรักษาทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ให้ดี ให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ
2. กำหนดนโยบายค่าเงินบาท ให้ปรับตัวไปตามกลไกตลาดอย่างโปร่งใส โดยการแทรกแซงเป็นเพียงการลดความผันผวนให้เอกชน เพราะในยุคหนึ่งก่อนวิกฤต ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนนโยบาย เป็นผลให้มีความเสี่ยงจากการที่อัตราแลกเปลี่ยนแตกต่างไปจาก อัตราที่เกิดจากสมดุลตามกลไกตลาด ซึ่งทำให้อาจมีผู้ได้ประโยชน์ และ มีผู้เสียประโยชน์ จนทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบจากความรู้ข้อมูลไม่เท่าเทียมกัน คล้ายๆสมัยวิกฤตต้มยำกุ้งได้
การแทรกแซงค่าเงิน จึงควรอยู่ในระดับที่ช่วยลดความผันผวน แต่ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดทิศทาง หรือระดับอัตราแลกเปลี่ยนฝืนกลไกตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้การการเอื้อประโยชน์ให้คนหนึ่งคนใดได้อีก
ตัวอย่างแนวความคิดแบบจู่ๆก็เกิดขึ้นในช่วงที่ค่าเงินบาท อยู่แถวๆ 30 บาทว่า “ค่าเงินบาท น่าจะอยู่แถวๆ 32 บาท” ด้วยความคิดสงสารคนไทย ผมก็จะงง เพราะ ถ้าค่าเงินอ่อน ประชาชนไทยก็ต้องจ่ายสินค้านำเข้า โดยเฉพาะ น้ำมันแพงขึ้น ค่าขนส่งก็สูงขึ้น สินค้าก็จะแพงขึ้น และก็จะทำให้ค่าครองชีพคนไทยสูงขึ้น คนไทยก็คงงงงวย (จนตาลาย) ว่า แล้วค่าเงินอ่อน จะทำให้คนไทยมีชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร
เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ และเรื่องการแทรกแซงค่าเงิน จึงต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความไม่โปร่งใส จนรั่วไหลให้ผู้รู้ข้อมูลภายใน หรือกำหนดนโยบายได้เปรียบคนอื่น และอาจเอาเปรียบกองทุนสำรองระหว่างประเทศได้อีก
3. กำหนดระดับดอกเบี้ยนโยบาย และสภาพคล่องในระบบให้เหมาะสมตามสภาวะเศรษฐกิจ และนโยบาย ก็ยังคงเป็นไปตามกระแสโลก ที่ต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจจากอัดฉีดภาครัฐ ฐานะการเงินการคลัง ภาระหนี้ของประเทศในไทยขณะนี้ มีความแข็งแรงมีอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องในระบบก็มีพอเพียง จึงควรที่จะใช้นโยบายดอกเบี้ยควบคุมให้มีสภาพคล่องพอเพียงสำหรับภาคเอกชนใช้ขยายกิจการ อันมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยตรง
หวังว่า เมื่อ (ดร.) ประสาร ประสาน กับ (ดร.) วีรพงษ์ เรื่อง ธปท. ก็คงไม่มีปัญหาใดๆครับ
