พ.ร.บ. ปรองดอง...ต้องเพื่อส่วนรวม...มิใช่เพื่อคนๆเดียว

สังคมที่อยู่ในทางสว่าง เป็นสังคมแห่งความสันติสุข...มีแต่ความรัก ความสามัคคี เป็นพี่น้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผู้คนไม่คิดเพียงคดโกงเอาเปรียบกัน
สังคมที่อยู่ในทางมืด เป็นสังคมแห่งความทุกข์เศร้า...มีแต่การยุยงให้แตกแยก การสร้างความเกลียดชัง และความอาภัพน้อยใจ ใส่ร้ายพี่น้องร่วมชาติ ให้เกลียดชัง ไม่รักกัน มีแต่การหาโอกาสคดโกงและเอาเปรียบกัน
ย่อมเป็นเรื่องดี ที่หลังจากความขัดแย้งในบ้านเมืองมาหลายปี สภาผู้แทนฯของเรากำลังจะพิจารณา พ.ร.บ. ปรองดอง ก็หวังว่าจะนำไปสู่ความปรองดองที่แท้จริง ผมคิดว่า เรื่องนี้ มีความสำคัญยิ่ง และแม้นักวิชาการ นักธุรกิจ ควรจะต้องส่งเสียงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปในทางที่ถูกต้อง เดินในทางสว่าง
ดูเหมือนการให้มีการให้อภัยอย่างกว้างขวาง เพื่อการยุติความขัดแย้ง เป็นทางออกที่ดี ประชาชนหมู่มาก ร่วมกันทำกิจกรรมได้ ก็มักจะเป็นด้วยเรื่องอุดมการณ์ เรื่องความหวังดีเพื่อบ้านเมือง
...คนเสื้อเหลือง รวมกันเพื่อปกป้องบ้านเมืองจากคนโกงชาติ เพื่อไม่ให้ใครใช้ช่องทางประชาธิปไตย วางตัวเหนือกฎหมายและรัฐธรรมนูญ หากำไรส่วนตัว จากอำนาจรัฐ
...คนเสื้อแดง รวมกัน เพื่อปกป้องประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้ใคร ยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการรัฐประหาร โดยไม่ใช่เสียงของตัวแทนประชาชน
ในการชุมนุมนั้น อาจมีพฤติกรรมการแสดงความเห็นที่ก้าวร้าว การแสดงออกที่ละเมิดกฎหมาย และละเมิดพี่น้องไทยเช่น การปิดถนน ฯลฯ ส่วนมาก ก็ทำด้วยความเชื่อว่าเป็นการทำโดยเสียสละส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินแม่อันเป็นที่รัก การกลับมาปรองดองคืนดีกัน จึงเป็นการเห็นเจตนาดี และความตั้งใจดีของกันและกัน กลับมารู้รักสามัคคีกันเหมือนเดิมและรักกันตลอดไป
ผมจึงเห็นด้วยกับมาตรา 3 เป็นการให้อภัยให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงตาม ซึ่งก็ครอบคลุมเพียงพอ โดยรวมถึง (1) การกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ (2) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใด ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกัน ระงับหรือปราบปราม ในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว
เมื่อมาตรา 3 ครอบคลุมคนหมู่มาก ที่สมควรให้เลิกแล้วต่อกัน ก็ควรที่จะมีการให้อภัยโทษ แต่หากเกินกว่านั้น ก็อาจเป็นการกระทำเพียงเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเกินความจำเป็น สำหรับการปรองดอง ดังกรณีมาตรา 4-5 ผมว่ามันมีความเสี่ยง ไม่เพียงเป็นเรื่องการร่างกฎหมายเพียงเพื่อคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องหลักนิติรัฐของแผ่นดินอีกด้วย ดังนี้
มาตรา 4 ถึงกับระบุว่า ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวผู้นั้น...ก็ดูเป็นลักษณะเจาะจงเหมือนช่วยคนๆเดียวเกินไป
มาตรา 5 ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้ง หลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะ คมช. ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคลดังกล่าว มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด โดยให้นำความในมาตรา 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ซึ่งเรื่องนี้ คือเรื่องใหญ่ ที่จะมี “ความเข้าใจความจริงตรงกัน” อันจะนำไปสู่ “ความปรองดองแท้จริง” ของประชาชนทั้งประเทศ จึงควรถือโอกาสนี้ที่กันประชาชนคนหมู่มากออกไปก่อน แล้วทำความจริงให้กระจ่าง และให้ความเป็นธรรมอย่างโปร่งใส กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ตามหลักฐานที่อ้างถึงให้ชัดเจน
...หาก คมช. และคณะที่แต่งตั้งโดย คมช. (ก็คือ คตส.) ใช้หลักฐานจริง แสดงได้ว่ามีการ “ซุกหุ้น” จริง “เอื้อประโยชน์” จริง ก็ควรจะรับความผิดไปจริง และก็จะไม่เกิดความขัดแย้งในสังคมอีก เพราะคนเสื้อแดง ส่วนมากก็เป็นคนดี รักชาติ รักความถูกต้อง หากรู้ว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องถูกกลั่นแกล้ง มีความผิดจริง ก็คงไม่เกิดความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป
...หาก คมช. และคณะที่แต่งตั้งโดย คมช. (ก็คือ คตส.) ปลอมหลักฐาน ใส่ร้าย ยัดเยียดความผิดให้ ก็ไม่ควรปล่อย คมช. ให้ผ่านไป การที่เมื่อมีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่กลับมีประชาชนนำดอกไม้ นำอาหารเครื่องดื่มไปให้ทหารนั้น ก็ด้วยความศรัทธาในความกล้าหาญ รักษาความถูกต้องเพื่อบ้านเมือง แต่หากเป็นการสร้างหลักฐานใส่ร้าย ก็ควรเอาผิด และก็จะไม่เกิดความขัดแย้งอีกเช่นกัน เพราะทุกคนก็จะได้กลับมาเข้าใจความบริสุทธิ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยทั่วกัน
ดังคดีที่ได้ตัดสินโดยคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา มีหลักฐานต่างๆมากมาย ไม่ควรจะปล่อยให้เริ่มต้นกันใหม่ น่าจะถือโอกาสนี้ เอาทุกๆหลักฐานมาตีแผ่ เป็นหลักฐานจริง หรือ หลักฐานเท็จ
...ถ้าหลักฐานจริง ก็แสดงว่ามีความผิดจริงตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ผู้ต้องโทษก็ควรได้รับโทษไป
...ถ้าหลักฐานไม่จริง ก็แสดงว่า เป็นการยึดอำนาจเพื่อใส่ร้าย ก็ควรจะเอาโทษ คมช. และ ผู้ต้องโทษก็ควรได้รับชดเชยทุกสิ่ง
และถ้าหาวิธีเลี่ยง เช่น ใช้เรื่องอำนาจของการเรียกดูหลักฐาน หรือเรื่อง พรบ. ปรองดองให้เรื่องเงียบหายไป ก็แสดงว่าที่จริงแล้ว หลักฐานเป็นความจริง ไม่มีทางหาหลักฐานมาโต้แย้งเสียมากกว่า และแสดงว่ามีความผิดจริง
หากทำเช่นนี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการคืนความจริงให้สังคมไทยอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงกัน และนำไปสู่ความปรองดองที่แท้จริงครับ
ผมขออธิษฐานพระเจ้า ให้ทรงคุ้มครองประเทศไทย ให้อยู่ในทางสว่าง คือ ทางแห่งความถูกต้อง และทางแห่งความปรองดอง ซึ่งหวังว่า เราคนไทยในยุคนี้ จะนำพาประเทศไทยให้เป็นแผ่นดินธรรมเพื่อส่งมอบให้รุ่นลูกหลานอย่างภาคภูมิใจร่วมกันครับ...เอเมน
