“กิตติศักดิ์”ชำแหละร่างกม.ปรองดอง เหวี่ยงแหบังคับใช้ คดี ม.112 ได้รับอานิสงส์?
ผศ.ดร. กิติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ฉบับของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิว่า มีเนื้อหาที่ไม่มีขอบเขตที่แน่นอน ว่า การกระทำเรื่องอะไรบ้างที่ควรได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายนี้ ซึ่ง อาจวิเคราะห์ได้ว่า คนร่างกฎหมายต้องการเปิดให้มีการตีความอย่างกว้างขวางที่ สุด เป็นการเหวี่ยงแหในการบังคับใช้ให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากเสี่ยงต่อขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้วยังมีปัญหาในทางปฏิบัติตามมา อีกมากเมื่อนำมาบังคับใช้
“ถ้าคนร่างกฎหมายต้องการเอาคดีเดียวหรือเพื่อช่วยคนคนเดียวเป็นตัวตั้ง บ้านเมืองจะวุ่นวายแน่ จะมีแรงต่อต้านอย่างมหาศาล “ ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว
ดร. กิตติศักดิ์กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองในเรื่องขอบเขตของเนื้อหาของกฎหมายและการบังคับใช้ ซึ่งพบได้ทั้งในความผิดเกี่ยวกับชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองใน มาตรา 3 มาตรา 4 ถามว่า ทำไมในมาตรา 3 ของ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ ระบุช่วงเหตุการณ์ว่า เป็นเหตุการณ์ ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2548 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดตามกฎหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป
คำถามคือระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 มี เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ใครแสดงออก แสดงออกในเรื่องอะไร หรือมีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองอะไรในช่วงนี้คน ที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้คือคนกลุ่มใด
เพราะคนทั่วไปรับรู้ว่าวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการชุมนุม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ทำไมร่างกฎหมายฉบับนี้ จึงยืดเหตุการณ์ครอบคลุมจนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554
คำถามคือคนร่างต้องการคุ้มครองการแสดงออกของใครที่ได้แสดงความเห็นที่มีความ ผิดกฎหมายในช่วงนี้ รวมถึงการแสดงออกที่มีความผิดเรื่องหมิ่นตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (ว่าด้วยการหมิ่นประมาทและแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ฯ)ด้วยหรือไม่
หากมีเจตนาดังกล่าว คนที่ถูกฟ้องหรือถูกขังในข้อหาตามมาตรา 112 ก็ ได้รับประโยชน์ และหากเป็นเช่นนี้คดีของอากงหรือนายกำพน ตั้งนพคุณหรือคนอื่นๆที่ศาลตัดสินไปแล้วก็จะถูกเพิกถอนด้วย และให้ถือว่าอากงไม่มีความผิดหรือไม่เคยทำผิดมาก่อนซึ่งเป็นไปตามมาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองฉบับนี้ไปด้วย
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับความหมายของการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออก คำถามในส่วนการแสดงออก จะตีความคำว่า การแสดงออกให้มีความหมายกว้าง หรือแคบแค่ไหนที่ถือว่าเป็นการแสดงออกทั้งนี้ การแสดงออกที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง มุ่งร้ายต่อเศรษฐกิจ หรือ การแสดงออกที่ทำไปทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายจะได้รับการคุ้มครองด้วย หรือไม่
ที่สำคัญการกระทำที่ทบต่อชึวิตร่างกาย ซึ่งคนที่ไปเขียนกฎหมายว่า ทั้งกระทำของผู้ชุมนุมหรือ เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่ป้องกันก็ไม่ต้องรับผิดนั้นแสดงให้เห็นว่า เสรีภาพในชีวิตร่างกายที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย จากนี้เสรีภาพของชิวิตร่างกายของประชาชนก็อาจถูกกระทบได้จากเจ้าหน้าที่รัฐได้
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ยังระบุว่า ความไม่ชัดเจนแน่นอนของขอบเขตของเนื้อหาในร่างกฎหมายในส่วนของคดีที่เกี่ยวกับคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคปค.ให้ถือว่า มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด
คำถามคือเป็นประกาศฉบับใด หรือคำสั่งฉบับใด หรือการปฎิบัติหน้าที่ขององค์กรใด ที่ถือว่าเป็นเหตุร้ายแรงของบุคคลที่ได้รับผลกระทบ ควรได้รับการคุ้มครอง เพราะถ้าเขียนไว้เช่นนี้เท่ากับหมายความว่า ประกาศทุกประกาศ หรือคำสั่งทุกคำสั่งของ คปค.ใช่หรือไม่
เพราะนอกจากคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน(คตส.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.)ชุดนี้ก็เกิดจากคำสั่ง คปค. และได้ตัดสินคดีสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งกรณีนี้ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ในขณะนั้น (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีถูกชี้มูลในคดีเดียวกัน) ถูกชี้มูลว่าใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ต้องออกจากราชการ หากกฎหมายนี้บังคับใช้พล.ต.อ.พัชรวาทก็ไดรับประโยชน์ด้วย คำถามคือ พล.ต.อ.พัชรวาทมีสิทธิ์นำเรื่องมาฟ้อง ป.ป.ช.ได้หรือไม่ ถ้าฟ้องได้ก็ต้องยุ่งกันแน่
นอกจากนั้นยังมีคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต ที่ ป.ป.ช.วินิจฉัยไปหลายคดีแล้ว รวมทั้งเรื่องทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับประโยชน์อยู่แล้ว ซึ่งยังไม่นับรวมเรื่องที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ คปค..แต่งตั้งขึ้นมาหากกฎหมายที่ออกมาโดย สนช. แล้วมีคนเห็นว่าได้รับผลกระทบก็นำมาลบล้างได้ หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)ชุดนี้ก็มาจาก คปค. เช่นกัน หากกระทำเรื่องใดที่คนเห็นว่าได้รับผลกระทบก็จะหยิบกฎหมายนี้มาลบล้างเรื่องนั้นได้
“ทั้งหมดคือปัญหาของขอบเขตเนื้อหากฎหมายที่ไม่มีความชัดเจนว่าครอบคลุมเรื่องใดบ้าง ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นคำสั่งใดหรือ เป็นการกระทำขององค์กรใดและกระทำในเรื่องอะไรที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ฉบับนี้ หากร่างยังเป็นเช่นนี้ ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองแน่ ผลกระทบต่างๆขององค์กรต่างๆถูกหยิบมาลบล้างได้และจะทำให้เกิดปัญหาในทางปฎิบัติ” ดร. กิตติศักดิ์กล่าว
สำหรับ มาตรา 5 ที่ดร.กิตติศักดิ์อ้างถึงบัญญัติว่า “ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายของ องค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เป็นไปตามประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคล ดังกล่าว มิได้เป็น ผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด โดยให้นำความในมาตรา 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตาม หลักนิติธรรมต่อไป”
