'อภิสิทธิ์' หวั่นสังคมไทยยอมรับ แนวทางล้างผิดคดียึดทรัพย์

หัวหน้า ปชป. ชี้การเสนอให้เริ่มต้นใหม่ในคดียึดทรัพย์ที่ตัดสินไปแล้ว หากสังคมยอมรับ คงยากตอบคำถามชาวโลก 'ไทย' จริงจังแค่ไหนต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่น
วันที่ 28 พฤษภาคม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "1 ปีกับการปฏิรูปกฎหมายป้องกันและปราบปรามทุจริตเพื่อการปฏิรูปสังคม" ณ โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ โดยมี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวเปิดงาน
จากนั้นมีการปาฐกถาพิเศษ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง "ปัญหาการทุจริตกับการอยู่รอดของสังคมไทย การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงปัญหาคอร์รัปชั่นที่ยังแพร่หลายในสังคมไทย ไม่ว่าในระดับชาติหรือท้องถิ่น และกำลังเป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลกระทบมากขึ้นเป็นลำดับ ที่ผ่านมาแม้จะมีความพยายามต่อสู้กับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมา แต่ก็พบว่า ภาพลักษณ์ในเรื่องการชี้วัดความโปร่งใสมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ไม่วาจะเป็นคะแนนหรืออันดับในโลก ไม่ได้อยู่ในระดับที่พึงพอใจ ขณะเดียวกันประชาคมโลกก็มองเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของประเทศไทย
"เราต้องยอมรับว่าการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในโลกมีมาก รวมถึงหลายประเทศมีการเปิดประเทศเพื่อเข้าร่วมแข่งขันด้วย นั่นคือโลกไร้พรมแดน ส่งผลให้การแข่งขันทางเศรษฐกิจมีความเข้มข้นอย่างยิ่ง"นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า เมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีการเปิดประเทศมากขึ้น มีการส่งเสริมให้ต่างชาติได้เข้าไปลงทุน หากประเทศใดมีปัญหา หรือขั้นตอนยุ่งยาก มีการเรียกสินบน ก็จะทำให้นักลงทุนเกิดความไม่ไว้วางใจ ฉะนั้น วันนี้เราต้องให้ความสำคัญกับการจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น ให้การจัดการเกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดเสรีเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จะมีการยกเลิกกฎระเบียบทั้งหลายที่จะเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริตได้ นั่นคือ ยิ่งเปิดให้มีความเสรีมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เป็นการลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่เท่านั้น และหากเราต้องการประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเปิดเสรี ก็ต้องดูแลมาตรฐานกฎหมายให้ดีเพื่อเทียบเคียงกับต่างประเทศ
สำหรับการทุจริตเชิงนโยบายนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการทุจริตในรูปแบบที่แตกต่างจากการทุจริตที่เข้าใจง่ายทั่วไป เช่นการยักยอก หรือการปล้นเอาตรงๆ แต่การทุจริตเชิงนโยบายนั้นมีความทับซ้อน ที่มีการออกนโยบายเพื่อการทุจริตและเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ออกกฎหมาย แฝงอยู่ ซึ่งหากไม่ดูให้ดี ก็อาจไม่รู้
"ดังนั้น ควรมีการรประเมินนโยบายและผลกระทบของนโยบายที่อาจเอื้อต่อการทุจริตให้มาก ขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องนี้ ป.ป.ช.ก็ทำงานหนัก แต่สังคมอาจไม่รับรู้ ยกตัวอย่าง การแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตร ที่ทำให้เกิดความสูญเสียหลายแสนล้านบาท แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่านโยบายประกันรายได้ของรัฐบาลที่แล้วจะไม่มีช่องในการ ทุจริตได้ ดังนั้นต้องเปรียบเทียบจุดอ่อนของทั้งอย่างนโยบายว่ามีการแตกต่างกันอย่างไร เป็นต้น"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า องค์กรที่มีบทบาทกรปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นต้องตื่นตัว ป.ป.ช.ต้องช่วยชี้ช่องว่า นโยบายใดที่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตได้ และต้องบอกให้ประชาชนได้รู้ เพราะปัจจุบันการออกแบบนโยบายมีรูปแบบใหม่ๆมากมาย ที่ อาจทำให้เราตามกันไม่ทัน แต่หากมีหน่วยงานที่ติดตาม ศึกษาให้คำแนะนำมากขึ้น สังคมจะมีความคุ้นเคยว่า นโยบายแบบไหนที่ออกมาเพื่อเปิดช่องการทุจริต
ขณะที่การจัดซื้อจัดจ้าง เกิดการฮั้ว และสมยอมกันโดยอิงกับราคากลางที่เสนอนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า ราคากลาง จะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในเรื่องนี้กฎหมายได้ให้ทุกหน่วยงานต้องเปิดเผยราคากลาง ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้เสนอต่อรัฐบาลแล้ว แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจข้อเสนอ
"หากเราสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินการเปิดเผยราคากลาง จะช่วยลดความสูญเสียจากการจัดซ้อจัดจ้างไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันเอกชนก็เข้ามาร่วมต่อต้านด้วยอีกแรง และเชื่อว่าเอกชนพร้อมที่มีกลไกลที่สามารถรองรับได้ เนื่องจากมีความรู้เรื่องต้นทุนเป็นอย่างดี และหากหน่วยงานใดทำราคากลางไม่สมเหตุสมผลก็จะสามารถรับรู้ได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการใช้เงินที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาทที่เป็นงบกลางที่จัดไว้สำหรับน้ำท่วม รวมกับ 4 แสนล้านบาท สำหรับโครงการใหญ่ ควรต้องมีการเปิดเผยให้ประชาชนได้เข้าถึงและสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงเรื่องนี้สามารถทำให้เกิดความชัดเจนโปร่งใสได้ค่อนข้างมาก
"ปัญหาการทุจริตจากการจัดซื้อจัดจ้างที่เริ่มต้นจากการออกคุณลักษณะ ซึ่งปัจจุบันมักจะอ้างว่ามีเทคนิคและมีความสลับซับซ้อน รวมกับการจ้างที่ปรึกษาที่มีความสำคัญต่อผู้จ้างวาน เหล่านี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเปิดช่องในการทุจริตได้ เราก็จะมีความสามารถในการจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ดังนั้นวันนี้ตัวกฎหมายไม่ได้เป็นปัญหา แต่การทำงานใช้กฎหมายจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ"
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการที่มีการเสนอให้เริ่มต้นใหม่ในคดียึดทรัพย์ที่ตัดสินไปแล้วนั้น ว่า ถ้าสังคมยอมรับแนวทางนี้ คงยากที่ให้ชาวโลกหรือคนไทยเข้าใจว่าเราจริงจังหรือให้ความสำคัญในการต่อสู้ กับการคอร์รัปชั่น ทั้งนี้ปัญหาเรื้อรังที่มีอยู่ ไม่ว่าจะวิกฤติ ความขัดแย้ง รวมถึงการทุจริตทำให้เราเสียเวลา ซึ่งคนที่ไม่รอเราก็เดินหน้าในการพัฒนาประเทศ ฉะนั้นเราต้องตื่นตัวเพื่อขจัดอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
