การเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินของร่าง พ .ร. บ. ปรองดองแห่งชาติ

พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้ถอดจิตวิญญาณจากหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองซึ่งได้กระทำการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ มาเป็น ส.ส. หัวหน้าพรรคการเมืองและร่วมกับ ส.ส. กลุ่มหนึ่งได้เสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติต่อสภาผู้แทนราษฎรที่ได้บรรจุอยู่ในวาระการประชุมไปเรียบร้อยแล้ว
ที่ว่าได้ถอดจิตวิญญาณก็เพราะถ้าได้อ่านและฟังเหตุประกาศยึดอำนาจกับเหตุผลและในการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มาเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่าต่างกันเหมือนอเวจีกับสวรรค์ทีเดียว
กล่าวโดยเฉพาะในหลายมาตรา เช่น มาตรา ๔ และ ๕ จะเป็นผลให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกพลเอกสนธิ ทำการรัฐประหารและภายหลังต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำคุกสองปี แต่หนีไปยังไม่ได้รับโทษจำคุก และอีกคดีหนึ่งถูกยึดทรัพย์ กรณีร่ำรวยผิดปกติ จำนวน๔๖,๓๗๓,๖๘๗,๔๕๔,๗๐ บาท ที่เป็นคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จากผลของร่างกฎหมายฉบับนี้จะให้ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดเลย
ผลที่สำคัญตามมา เมื่อกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว ก็ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว และรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี น้องสาว พ.ต.ท. ทักษิณ ก็จะต้องนำเงินแผ่นดิน จำนวนที่ยึดมาพร้อมดอกเบี้ยคืนให้ ทักษิณโดยไม่ชักช้า
ประเด็นที่ต้องคืนเงินนี้แหละเป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฉบับนี้เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๒และ๑๔๓ ที่บัญญัติไว้ว่า
“....ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (๒) คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคน เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี....”
และมาตรา ๑๔๓ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหมายถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ................
(๒) การจัดสรร.........หรือการจ่ายเงินแผ่นดิน..........”
ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ปฏิเสธตลอดมาว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของ ส.ส. พรรคการเมืองอื่นและของสภาผู้แทนราษฎร
และตามข้อเท็จจริงๆได้บรรจุเข้าวาระของสภาไปแล้วโดยไม่มีคำรับรองของนายกรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้
ประเด็นที่สำคัญน่าคิดตามมา เหตุใดจึงต้องอำพรางใช้เทคนิคในการร่าง เพื่อถ้าอ่านแบบเผินๆ ตื้นๆ ก็จะไม่เห็นว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่นายกยิ่งลักษณ์ จะต้องรับรองแต่อย่างใด
กรณีนี้ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่น้องสาวของนักโทษหนีคุกและถูกยึดทรัพย์แล้ว ปัญหาการรับรองนี้ก็ไม่เกิด
แต่นี่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างผู้มีหน้าที่ต้องรับรองกับตัวบุคคลที่จะได้ประโยชน์
ประโยชน์หนึ่ง เมื่อกฎหมายนี้มีผลใช้บังคับแล้วนายกยิ่งลักษณ์จะต้องสั่งจ่ายเงินแผ่นดินจะเป็นเงินในงบประมาณหรือนอกงบประมาณก็แล้วแต่ จำนวน ๔๖,๓๗๓,๖๘๗,๔๕๔,.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนให้กับพี่ชาย เพราะเงินจำนวนนี้ได้ยึดส่งเข้าเป็นเงินคงคลังตามกฎหมายไปหมดแล้ว
ส่วนประโยชน์อำพรางที่สอง เมื่อคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓ ถูกลบล้างไปแล้วตามร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่มีผลใช้บังคับแล้ว กระบวนการพิจารณาก็ตกไปทั้งหมด ความผิดฐานเบิกความเท็จเพื่อช่วยพี่ชายก็ตกไปตามกัน
นี่แหละที่เป็นเรื่องพูดไม่ออก บอกไม่ได้ และจะรับรองกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้จริงๆ ครับ
