“เปิดปมกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เปิดช่องนายหน้าหากินกับแรงงานพม่า"
การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของออง ซานซูจี นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศพม่า เรียกเสียงฮือฮาให้คนสนใจความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในพม่าไม่น้อย มาดูอีกด้านมุมหนึ่งของคนพม่าที่หนีทุกข์ในบ้านเกิดมาเป็นแรงงานในไทย กำลังเผชิญกับอะไร?....
จากสถิติของกระทรวงแรงงานระบุอย่างชัดเจนว่ามีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากถึง 1.3 ล้านกว่าคน โดยเป็นแรงงานพม่ามากที่สุด ร้อยละ 82.1 รองลงมาคือ กัมพูชา และลาว ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 9.5 และ ร้อยละ 8.4 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีแรงงานอีกมากที่ลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย จนทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งจากนายหน้าและจากนายจ้าง
นโยบายผ่อนผันให้กระทรวงแรงงานขยายเวลาดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ทั้งลาว กัมพูชา และพม่า ออกไปจนถึง 14 มิ.ย.55 เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติ โดยนำแรงงานที่อยู่ใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดินอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งเหลืออีกไม่กี่สิบวัน
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ : Migrant Working Group (MWG) ร่วมกันสำรวจกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติพม่าว่ามีความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคใดบ้าง โดยศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่แห่งแรกที่เครือข่ายลงสำรวจ ซึ่งพบว่าแรงงานที่เข้ามาใช้บริการมีน้อย และกระบวนการในการออกเอกสารต่างๆ การประสานเพื่อให้ข้อมูลกับแรงงานล่าช้า
ทศพล สุมานนท์ หัวหน้าศูนย์กรมการจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ระบุว่าศูนย์พิสูจน์สัญชาติแห่งนี้สามารถรองรับจำนวนแรงงานได้วันละ 800 คน มีเจ้าหน้าที่รองรับการทำงานด้านเอกสารทั้งหมด 8 -9 คน ซึ่งศูนย์มีหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสาร ทร. 38 หรือใบอนุญาติทำงานใบสีชมพู และหนังสือขออนุญาติจากกระทรววมหาดไทย และเอกสารประกอบอื่นๆว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อเอกสารทุกอย่างครบถ้วนก็จะจัดส่งให้สถานฑูตพม่าที่ตั้งศูนย์อำนวยการอยู่ในตึกนี้ออกวีซ่าให้กับแรงงานต่อไป
ขณะที่ตัวแทนเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตพม่าซึ่งมาประจำการในการออกวีซ่าให้กับแรงงาน เปิดเผยถึงกระบวนการทำงานของศูนย์ว่า คณะทำงานที่มาจากประเทศพม่านั้นส่วนใหญ่มาจากบริษัทเอกชนที่ทำสัมปทานในการดำเนินการได้กับรัฐบาลพม่า ซึ่งพวกตนนั้นเป็นตัวแทนของบริษัท RMC GROUP ที่ประมูลงานนี้ได้ โดยในแต่ละศูนย์พิสูจน์สัญชาติที่ไทยและพม่าประสานความร่วมมือนั้นก็จะมีบริษัทเอกชนในที่อื่นๆ ประมูลไปไม่ซ้ำกัน ซึ่งปัญหาในการทำงานของฝั่งพม่าที่มาประจำการในประเทศไทยนั้นคือกระบวนการในการส่งต่อและตรวจเอกสารที่เป็นไปอย่างล่าช้าเช่นกัน
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ยังได้ลงสำรวจการพิสูจน์สัญชาติในศูนย์พิสูจน์สัญชาติเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยแรงงานพม่าจำนวนหนึ่งสะท้อนปัญหาว่ากระบวนการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลทั้งจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า รวมถึงในศูนย์พิสูจน์สัญชาตแต่ละแห่งเองยังมีล่ามไม่เพียงพอ เครือข่าย(MWG) ยังพบว่าศูนย์แห่งนี้ยังคับแคบเกินไป และปัญหาที่มีมากมายหลากหลายทำให้แรงงานจำนวนมากต้องหันไปพึ่งนายหน้าให้ดำเนินการขอพิสูจน์สัญชาติให้
นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เปิดเผยว่า จากการลงสำรวจการทำงานของศูนย์พิสูจน์สัญชาติทั้งสองแห่ง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบการประสานงานข้อมูลของรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเองยังมีปัญหาอยู่มาก จึงทำให้เกิดปัญหาว่าศูนย์ที่มีพื้นที่น้อยแรงงานเดินทางมาขอพิสูจน์สัญชาติมาก ส่วนศูนย์ที่มีพื้นที่ในการให้บริการมากกลับมีแรงงานไปขอใช้บริการน้อย
โดยเฉพาะในส่วนของประเทศพม่าเองที่เปิดให้บริษัทเอกชนมารับเป็นผู้ดำเนินการ ยิ่งจะทำให้การตรวจสอบข้อมูลในเอกสารนั้นอาจเสี่ยงต่อความผิดพลาดและล่าช้า และทำให้เกิดกระบวนการหาผลประโยชน์กับแรงาน โดยแรงงานส่วนใหญ่ที่ลงสำรวจให้ข้อมูลว่าจะต้องใช้บริการจากนายหน้าที่คิดค่าใช้จ่าย 5,000 - 7,000 บาทต่อคน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากถึงขนาดนั้น แรงงานบางคนทำงานอยู่ภาคใต้ยังต้องขึ้นมาพิสูจน์สัญชาติไกลถึงกรุงเทพ
“หากกระบวนการยังเป็นแบบนี้ต่อไป เชื่อว่าไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติแรงงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ได้"
อดิศร กล่าวว และยังได้แนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าว่า ควรจะมีการจัดโซนพื้นที่ว่าแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในจังหวัดใดควรจะเข้ามารับการพิสูจน์สัญชาติที่ศูนย์ใด เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับแรงงาน พร้อมกันนี้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าควรประสานงานกันเรื่องการออกเอกสารที่ยังมีปัญหายุ่งยากและซับซ้อนในหลายส่วน
และยังเสนอให้ยืดระยะเวลาในการพิสูจน์สัญชาติออกไปอีก 3-4 เดือน เพื่อให้การดำเนินการในการขอพิสูจน์สัญชาติขอแรงงานแล้วเสร็จได้อย่างทันท่วงที
