นักวิชาการ ชี้ เลือกตั้ง62 “กาบัตรใบเดียว”ทำประชาชนมีอำนาจมากขึ้น
นักวิชาการ ชี้ เลือกตั้ง 2562 อำนาจจะอยู่กับประชาชน เพราะกาบัตรใบเดียวนักการเมืองจะมารุมจีบเพื่อขอคะแนน พร้อมทั้งพรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลงส.ส.เขตเพื่อให้ได้ชัยชนะกลับมา
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2561 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการชำนาญการ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวในรายการ “เป็นเรื่องเป็นข่าว” ว่า เลือกตั้งปี 2562 จะเป็นการเลือก ส.ส.ตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมีคะแนนลงเสียงแค่ 1 เสียง เพราะหากย้อนไปเมื่อปี2518 การเลือกตั้งส.ส. จะแบ่งเขตใหญ่ แบ่งเขตเรียงเบอร์ในจังหวัดใหญ่ๆแบ่งออกไป 2-3 เขต ซึ่งส.ส.จะมีประมาณ 2หรือ3คน และผู้ใช้สิทธิ์สามารถเลือกผู้สมัครได้ 2 หรือ 3เสียง หลังปี2540 บัตรเลือกตั้งจะมี 2บัตร สามารถเลือกส.ส.เขต และ เลือกพรรคได้ด้วย แต่เลือกตั้งที่จะถึงนี้เป็นบัตรใบเดียว ผู้ใช้สิทธิมีโอกาสเลือกแค่ 1อย่างเท่านั้น และผู้ออกแบบเลือกตั้งยังเน้นย้ำว่าบัตรใบเดียวได้ 3 ต่อ คือ ได้ส.ส.เขต ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ และได้นายกรัฐมนตรี ซึ่งหมายความว่าคะแนนเสียงของประชาชนจะมีคุณค่าเป็นพิเศษ และเป็นเรื่องที่ดี เพราะอำนาจจะอยู่กับประชาชน นักการเมืองก็จะมาตามจีบตามขอคะแนนจากประชาชน
ที่สำคัญอีกอย่างคือ พลังของประชาชน เพราะกติกาใหม่ในรัฐธรรมนูญบอกด้วยว่า ถ้าพรรคการเมืองส่งเสาไฟฟ้าลง เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคการเมืองจะมองว่าบางเขตตัวเองมีฐานเสียงดีจะส่งใครก็ได้ประชาชนก็เลือก แต่ปัจจุบันถ้าเราไปกาในช่องที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน มากกว่าลงคะแนนให้ผู้สมัครจะทำให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครคนใหม่มาให้เลือกใหม่
ดร.สติธร ยังระบุด้วยว่า การเกิดขึ้นของพรรคเพื่อธรรม มีนัยยะสำคัญต่อพรรคเพื่อไทย เพราะเพื่อไทย สุ่มเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรค จึงต้องหาทางหนีทีไล่เอาไว้ จึงตั้งพรรคสำรองขึ้นมา แต่อีกแง่หนึ่งคือนักการเมืองต้องปรับยุทธวิธีตามกติกาใหม่ เวลาคำนวนส.ส.ของบัตรใบเดียวเขาจะเอาคะแนนที่ประชาชนเลือกทุกพรรคมารวมกัน จากนั้นก็จะหารด้วย 500 ซึ่ง 500 คือจำนวน ส.ส.ทั้งหมด
“สมมุติเลือกตั้งปี2562 มีผู้ใช้สิทธิ 35ล้านคน เอา 500 ไปหารจะได้ตัวเลขอยู่ที่ 7หมื่น ถ้าพรรคไหนได้ 7หมื่นคะแนนจากทั่วประเทศ ก็จะได้ส.ส.1ที่นั่ง หากย้อนมาดูที่พรรคเพื่อไทย คะแนนเลือกตั้งเมื่อปี2554 เพื่อไทยได้ 14ล้านคะแนนในระบบเขต การคำนวนรูปแบบใหม่จะนำ 14 ล้านมาหารด้วย 7 หมื่นก็จะได้ 200 ดังนั้นเลือกตั้งปี 2562 มีจำนวนเขตเลือกตั้งมีอยู่350 เขต ถ้าเพื่อไทยยังได้เท่าเดิมคือ 14 ล้านคะแนน แต่ชนะเขต 195 เขต จากการคำนวนรูปแบบใหม่เพื่อไทยจะได้ส.ส.เพิ่มจากบัญชีรายชื่อแค่ 5คน เป็น 200 คน ดังนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ ในพรรคที่ปกติลงบัญชีรายชื่อ30-40 คน ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.บัญชีรายชื่อประมาณ 61 คน แต่รอบนี้จะได้แค่ 5คนแล้วอีก 56 คนจะไปอยู่ที่ไหน” ดร.สติธร กล่าว
ส่วนกรณี 4รัฐมนตรีไปสังกัดพรรคการเมืองนั้น ดร.สติธร กล่าวว่า ตนเองรู้สึกเป็นห่วง โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 44 จะต้องขีดเส้นให้ชัดว่าจะไม่ใช้มาตรา 44 เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้งทางตรงและทางอ้อม
ด้าน ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวว่า เรื่อง 4รัฐมนตรีไม่ลาออกเป็นการสะกิดต่อมจริยธรรมทางการเมือง เพราะขณะนี้กำลังถูกกระแสสังคมถามถึงมารยาททางการเมือง ส่วนตัวมองว่าถ้า 4รัฐมนตรีทานแรงกดดันได้ตลอดทั้งเดือนต.ค.ได้ถือว่าเก่ง แต่ต้องยอมรับถึงคะแนนนิยมที่ตกต่ำด้วย สมมุติว่านายกรัฐมนตรี ประกาศจุดยืนว่าลงเล่นการเมืองคำถามตามมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกหรือไม่ ถ้าลาออกในเดือนธ.ค.2561 กระแสสังคมที่จะตอบรับพรรคพลังประชารัฐ จะไม่เหมือนตอนนี้
ส่วนเรื่องบัตรใบเดียว ถือว่ามีคุณค่าจนทำให้นักการเมือง ต้องคิดสูตรคณิตศาสตร์การเมืองในอนาคต เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชนะเลือกตั้ง และการเลือกตั้งในครั้งจะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น ในอดีตพรรคที่เป็นพันธมิตรกันจะไม่ส่ง ส.ส.ลงแข่งกัน เพราะถ้าส่งไปจะเสียความรู้สึกหากจะต้องมาจับมือกันตั้งรัฐบาล แต่ครั้งนี้จะเป็นการหวังผลว่าทุกคะแนนที่ผู้ใช้สิทธิกา จะถูกนำไปคำนวนส.ส.ในบัญชีรายชื่อทันที สมุมติว่า จังหวัด ก. ผู้สมัครหมายเลข 1 กับผู้สมัครหมายเลข 2 เคยอยู่พรรคเดียวกันมาก่อน แต่หมายเลข 3เป็นพรรคที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงกันข้ามกับหมายเลข 1กับ2 ก็จะทำให้ 1กับ 2 ได้คุณประโยชน์ทันที และ บัตรใบเดียวจะทำให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ที่มีชื่อเสียง หรือเคยชนะหลายสมัยลงส.ส.เขต เพื่อจูงใจให้ประชาชนกลับมาเลือกอีกครั้ง
ผศ.วันวิชิต ยังมองอีกว่า เมื่อมีกติกาควบคุมการเติบโตของพรรคการเมืองใหญ่ ก็จะบังคับให้พรรคการเมืองใหญ่คิดสูตรในการบริหารองค์กรตัวเองให้ง่ายขึ้น อย่างพรรคเพื่อไทย คิดว่าพรรคตัวเองถูกโดดเดี่ยว ก็มีข่าวว่าตั้งพรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ เป็นพรรคสาขา หรือ อาจจะมีพันธมิตรทางการเมืองอย่างพรรคประชาชาติ และการตั้งพรรคสาขาขึ้นมา จะทำให้เพื่อไทยแก้ปัญหาได้เป็นเอกภาพ เพราะปัจจุบันมักจะถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อแตกกลุ่มออกไปพรรคที่เคยใหญ่ เป็นพรรคขนาดเล็กลงกว่าเดิม ก็จะสามารถเสนอชื่อใครก็เป็นหัวหน้าพรรคได้ และจะไม่มีใครสักค้านในพรรคอีก
ประการต่อมาถ้าเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งได้และจับมือพรรคที่แตกแขนงออกไป จัดตั้งรัฐบาล ก็จะสามารถจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น เพราะแบ่งให้แต่ละพรรคไปจัดการกันเอง แต่ถ้าอยู่รวมกันในพรรคใหญ่ก็วิ่งกันวุ้นจัดโควต้าไม่ลงตัว อีกทั้งกติกาใหม่ เพดาน เก้าอี้ส.ส.เขตมีจำนวน 220 ที่นั่ง เพื่อไทยครั้งที่แล้ว ได้ส.ส.265 ที่นั่ง เมื่อเพื่อเพดานตั้งมาแบบนี้ จึงต้องตั้งพรรคสาขา เพื่อจะได้แย่งคะแนนเสียง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคตรงข้าม และการเลือกตั้งปี 2562 พรรคขนาดกลางจะได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งรัฐบาลในอนาคตก็จะต้องเป็นรัฐบาลผสม

