โพลชี้ ปชช.สิ้นหวัง กม.ปรองดองไม่ทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น
โพลชี้ ปชช. สิ้นหวัง กม.ปรองดองไม่ทำให้บ้านเมืองสงบ 80% ระบุ ผลักดันกฎหมาย ฝ่ายการเมืองได้ประโยชน์ อยากให้แก้ปัญหาปากท้อง ข้าวของแพงก่อน
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง “ร่าง พ.ร.บ. ปรองดองแห่งชาติ กับความสงบร่มเย็นของสังคมไทย” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จันทบุรี ลพบุรี ปทุมธานี ชลบุรี ลำปาง อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ มุกดาหาร หนองคาย หนองบัวลำภู สุรินทร์ อุดรธานี ขอนแก่น ภูเก็ต สุราษฎร์ธานีและสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,258 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.9 ไม่เคยทราบรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ ฉบับ นายนิยม วรปัญญา และคณะ ร้อยละ 90.2 ไม่เคยรับทราบรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ ฉบับ นายสามารถ แก้วมีชัย และคณะ ในขณะที่ ร้อยละ 83.6 ไม่เคยทราบรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ ฉบับ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อและคณะ และร้อยละ 75.4 ไม่เคยทราบรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ ฉบับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.2 ไม่มีความหวังต่อ ร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ จะนำไปสู่ความสงบร่มเย็นของบ้านเมือง มีเพียงร้อยละ 33.8 เท่านั้นที่มีความหวัง
ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 88.9 อยากให้ฝ่ายการเมือง เร่งแก้ปัญหาปากท้อง ข้าวของแพง ก่อน การผลักดันการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ในขณะที่ ร้อยละ 11.1 อยากให้เร่งผลักดันการพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ก่อน
โดยผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.0 ระบุว่า การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ทำให้ฝ่ายการเมืองได้ประโยชน์ ในขณะที่ร้อยละ 20.0 ระบุประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ประโยชน์
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.7 ยังระบุด้วยว่า ความขัดแย้งบานปลายในหมู่ประชาชนที่เกิดจาก ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ นี้ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมาก ถึง มากที่สุด และร้อยละ 61.3 ระบุ ความขัดแย้งบานปลายในหมู่ประชาชนที่เกิดจาก ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ นี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำธุรกิจระดับมาก ถึง มากที่สุด
ส่วนการแสดงพฤติกรรมของ ส.ส. ที่ไม่เหมาะสมในการประชุมสภาฯ ที่ผ่านมานั้น พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.4 ระบุควรออกมาแสดงความขอโทษประชาชน ร้อยละ 40.2 ระบุควรลาออก และร้อยละ 7.4 ระบุไม่ต้องทำอะไร
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.8 ระบุความวุ่นวายในสภาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความล้าหลังและความเสื่อมในคุณภาพของ ส.ส. มาก ถึงมากที่สุด
ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.8 เห็นด้วยที่จะมีการรณรงค์ อธิษฐานให้ วันวิสาขบูชาเป็นวันรวมศูนย์จิตใจของคนไทยให้มีความรัก ความสามัคคีต่อกันและช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองถึงจุดที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันคือ มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาสู่ท้องถนนและกระทำการคัดค้านขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และมีกลุ่มประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งออกมาบนท้องถนนเช่นกัน นั่นหมายความว่า บ้านเมืองกำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากต่อการแก้ไขมากยิ่งขึ้น ทางออกที่น่าพิจารณาคือ ยุทธศาสตร์ '3 ไม่ 1 มี' ต่อไปนี้
ประการแรก ต้องไม่ปิดบังซ่อนเร้นในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ และไม่ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยต่อคณะบุคคลที่เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ นั้นๆ
ประการที่สอง ต้องไม่อ้างความชอบธรรมมาเป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่นของแต่ละฝ่ายเพียงอย่างเดียวเพราะต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมด้วยกันทั้งนั้น
ประการที่สาม ต้องไม่ประเมินจำนวนคนที่ออกมาสู่ท้องถนนว่ากลุ่มไหนมากกลุ่มไหนน้อย เพราะไม่มีใครรู้ความเป็นจริงว่า เมื่อใดกลุ่มพลังเงียบจะเปลี่ยนใจหรือแบ่งแยกแตกออกจากกันครึ่งๆ จนไม่มีใครจะรับผิดชอบไหวในการยั้บยั้งอารมณ์ของมวลชนได้ บ้านเมืองก็จะเสียหายบอบช้ำไปอีก
ประการที่สี่ ต้อง 'มี' และ 'จำเป็นต้องมี' กลไกคัดค้านการปฏิบัติการบางอย่างของคณะบุคคลที่มีความทะเยอทะยาน
ดร.นพดล กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อการเมืองในรัฐสภาไม่สามารถรักษาความศรัทธาในหมู่ประชาชนจำนวนมากและไม่สามารถมีระบบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพจนทำให้ความทะเยอทะยานของคนบางกลุ่มมีมากเกินไป จำเป็นต้องมีกลไกของรัฐบางอย่างมาหยุดยั้งความทะเยอทะยานเหล่านั้น หรือทำให้มีผลกระทบในทางลบต่อชาติบ้านเมืองให้น้อยที่สุด เพราะถ้าปล่อยให้ประชาชนหรือมวลชนออกมาเผชิญหน้ากันเองจนแตกแยกรุนแรงบานปลาย จะไม่เกิดผลดีต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่จะมีแค่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์บนความเสียหาย เสียเลือดเสียเนื้อและทรัพย์สินของภาครัฐและเอกชน
"ดังนั้น ต้องไม่ปล่อยให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแสดงความทะเยอทะยานออกมามากเกินไปจนเสียความสมดุลในบ้านเมือง และหากฝ่ายการเมืองเล็งเห็นว่าสถานการณ์การเมืองจะทำให้ประเทศชาติไปไม่รอด ก็น่าจะตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งใหม่บนแนวทางประชาธิปไตยเพื่อสกัดกั้นอำนาจอื่นใดที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติที่เจริญแล้ว”
