ทักษิณน่าจะเรียนรู้จริยธรรมจากหลักคุณธรรมของตลาดทุน

ในการบริหารกิจการมหาชน แม้จะเป็นกิจการเล็กๆ แต่เมื่อเป็นบริษัทมหาชน ผู้บริหารก็ควรมีคุณธรรม เคารพกฎหมาย ไม่เป็น 2 มาตรฐาน ยิ่งกว่านั้นอีกเท่าใด การบริหารงานการเมือง ยิ่งเกี่ยวพันกับประชาชนทั้งชาติ ก็น่าที่จะได้เรียนรู้หลักคุณธรรมของตลาดทุน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้เป็นพื้นฐานได้หลายประการ ดังนี้
1. หลักความแยกแยะถูกผิด ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ของ ศจ. สังเวียน อินทรวิชัย ซึ่งเป็นหลักการที่ชาวตลาดทุนให้ความเคารพ จึงได้จารึกไว้ที่หน้าห้องประชุม ศาสตราจารย์ สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า
"สิ่งที่ถูกต้องคือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น
สิ่งที่ผิดคือสิ่งที่ผิด แม้ทุกคนทำสิ่งนั้น"
เวลาทำผิด จึงไม่ควรอ้างว่า ใครๆก็ทำกัน เวลาทำถูก แม้น้อยคนทำ ก็ทำเถิด เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูก
2. หลักการเปิดเผยเข้อมูล ควรถูกต้อง ครบถ้วน ไม่เป็นเท็จ ไม่ทำให้ผู้อื่นสำคัญผิดหรือขาดข้อมูลที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญ การบอกคนเสื้อแดงว่า ตอนปี 2537 มีหลักทรัพย์มูลค่าสูงถึง 6.4 หมื่นล้านบาท นั้น เป็นช่วงปีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯสูงสุดยุครัฐบาลชวน 1 ถึง 1,770 จุด การบอกให้สังคมเข้าใจว่า มูลค่าสินทรัพย์ควรจะคงอยู่ระดับนั้นตลอดจนถึงปี 2543 ที่เป็นนายกฯเป็นการทำให้สำคัญผิด ดัชนีขณะนั้นตกลงไปตั้งมากมาย จะหาว่า รวย 6 หมื่นล้านบาทก่อนเป็นนายกฯนั้น ก็เป็นเท็จ ทำให้สำคัญผิดแล้ว เพราะศาลก็ ได้คำนวณราคาหุ้นเดิม ณ ช่วงก่อนเป็นนายกฯ โดยใช้ราคาวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 แล้วจึงคืนทรัพย์ให้ 3 หมื่นล้านบาทด้วยความเมตตาแล้ว จึงไม่ควรมีใครทำบาปต่อประเทศ โดยใส่ร้ายว่าศาลฎีกาไทยไม่ได้ให้ความยุติธรรม
และเมื่อดัชนีขึ้น หลายๆหุ้นก็มีราคาสูงขึ้น แต่ก็คงต้องดูว่า ขึ้นด้วยเหตุอันใด
...หุ้นแลนด์แอนด์เฮาส์ มี GIC มาร่วมลงทุน ยิ่งเสริมให้เป็นกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งเหนือใครๆ
...หุ้นดีแทคมีเทเลนอร์มาร่วมลงทุนก็แข็งแกร่งขึ้น หนี้น้อยลง ดอกเบี้ยน้อยลง กำไรดีขึ้น
...หุ้นธนาคารต่างๆ เมื่อลูกหนี้เสียน้อยลง เพิ่มทุนสำเร็จ กิจการก็กำไรดีขึ้น แต่บางธนาคารก็ไปไม่รอด
ไม่ใช่ทุกหุ้นจะขึ้นเหมือนกันหมด และแต่ละหุ้นย่อมมีปัจจัยพื้นฐานหุ้นที่ทำให้หุ้นขึ้นแตกต่างกันไป
3. หลักการเรื่องการมีความขัดกันของประโยชน์เป็นเรื่องพึงต้องห้าม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝ่ายกำกับดูแลจับตามองมากที่สุด เพราะคนไม่ดีมักหาโอกาส เอาเปรียบประชาชน ด้วยการนำกิจการของส่วนรวม เอื้อประโยชน์ส่วนตัวหรือกิจการส่วนตัว จึงห้ามผู้บริหารมีกิจการที่ค้าขายกับกิจการมหาชน เพราะอาจใช้อำนาจกำหนดราคาให้ส่วนตัวได้เปรียบกิจการมหาชนได้ คดีที่ดินรัชดา คดีเอื้อประโยชน์ปรับลดอัตราส่วนแบ่งภาครัฐในสัมปทานโทรศัพท์มือถือระบบพรีเพด ก็เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาของปัญหาความขัดกันของประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ภาครัฐ
ตลาดทุนก็ยังห้ามการใช้กิจการมหาชน เอื้อประโยชน์ส่วนตนของผู้ถือหุ้นเพียงบางกลุ่มอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนส่วนรวม กรณีการแปลงสัมปทาน ซึ่งปรกติต้องกลับเป็นของรัฐเมื่อครบอายุสัมปทาน ให้เป็นการเก็บภาษีสรรพสามิต และกิจการเหล่านั้น ก็ไม่ต้องกลับมาเป็นของชาติอีกต่อไป หรือ การเอื้อประโยชน์กิจการดาวเทียมหลายวาระตามคำพิพากษาของศาล ก็เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาถึงปัญหาความขัดกันของประโยชน์เป็นอย่างดี
ซึ่งในระดับชาติ ก็ถือว่าได้ระมัดระวังเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงได้กำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 มาตรา 209 ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป และกฎหมาย ปปช. มาตรา 100 ระบุชัดว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาอันมีสถานะเป็นการผูกขาดตัดตอนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา จึงได้ตัดสินว่า พ.ต.ท. ทักษิณผิดจริง ให้ยึดทรัพย์ที่เอื้อประโยชน์ส่วนตน ทำให้ร่ำรวยผิดปรกติไป 4.6 หมื่นล้านบาท โดยมีมติ 9:0 ว่า "ซุกหุ้น" จริง ที่โอนหุ้นให้ บุคคลรอบข้างนั้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส. ยิ่งลักษณ์ นายพานทองแท้ น.ส. พินทองทา ชินวัตร และ นาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ เป็นเพียงการโอนให้ตัวแทนถือหุ้นเท่านั้น
แต่ยิ่งพ.ต.ท. ทักษิณ พูดก็ยิ่งมัดตัวเองชัดเจนมากขึ้น การบอกกับคนเสื้อแดงว่า ไม่ใช่ถูกยึดทรัพย์ที่ทำผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญไป แต่ถูกปล้นทรัพย์ที่ "ทำมาหากิน" ไป ก็เท่ากับยืนยันความผิดหลายประการ
...พ.ต.ท. ทักษิณ คือเจ้าของหุ้นที่แท้จริง จึงเป็นผู้พยายามทวงเงินแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่เห็นนายบรรณพจน์ นายพินทองทา นางพินทองทา น.ส. ยิ่งลักษณ์ทวงเงินบ้างเลย จึงแสดงว่า ที่ถูกตัดสินว่า "ซุกหุ้น" ก็เป็นความจริง ครอบครัวที่ให้การต่อศาลว่าโอนหุ้นจริงก็เป็นความเท็จ ที่ใส่ร้ายว่าถูกกลั่นแกล้งก็เป็นความเท็จ จะว่าไปเงิน 3 หมื่นล้านบาทที่ศาลเมตตาคืนให้ไปนั้น กลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริงคือใครแน่ ดูเหมือนไม่ได้กลับไปที่ นายบรรณพจน์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายพานทองแท้ และ นาง พินทองทาซึ่งเพิ่งแต่งงานไป แต่ก็อยู่กับอดีตนายกฯทักษิณ เช่นนั้นแล้ว จะสร้างความเท็จใส่ร้ายแผ่นดินเกิดว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมอีกทำไม ?
...พ.ต.ท. ทักษิณ ยืนยันว่าได้มาโดยการทำมาหากิน หากยังถือว่า การทำผิดรัฐธรรมนูญ โดยการ "ซุกหุ้น" และใช้อำนาจรัฐที่มีเอื้อประโยชน์กิจการที่แอบถือผ่านโนมินีตัวแทนถือหุ้นนั้น เป็น “การทำมาหากิน” ก็เท่ากับเป็นการสารภาพความผิดมัดตนเองว่ากำลังทำ “ธุรกิจการเมือง” โดย “ทำมาหากิน” จากการใช้อำนาจรัฐเอื้อกิจการส่วนตัวอีกขั้นหนึ่งครับ
ในหลักธรรมบัญญัติของพระเจ้า จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ เกินกว่านั้นเป็นความบาป
ในหลักการตลาดทุนของ อ.สังเวียนที่เราเคารพรักก็ว่า ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด หวังว่าคนไทยจะได้ใช้สำนึก รักษาแผ่นดินไทยให้ทรงคุณธรรม อยู่ในทางสว่าง เสริมสร้างความถูกต้องและความปรองดองในสังคมให้เกิดความสงบสุข เมื่อสังคมมีคุณธรรม กิจการมีธรรมาภิบาล ตลาดหุ้นจะดี และเศรษฐกิจจะเข้มแข็งครับ
