นพ.เจตน์ คาดธ.ค.ร่างกม.ยาเสพติดเปิดทางใช้กัญชา-กระท่อมทางการแพทย์จะผ่านสภา
นพ.เจตน์ ย้ำชัดไม่ขัดข้อง หากรบ.ออกคำสั่งมาตรา 44 ปลดล็อคกัญชา กระท่อม เพื่อศึกษาวิจัยและใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ พร้อมถอยเสนอร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ เข้าสภาทันที
วันที่ 12 ตุลาคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเรื่อง "การใช้กัญชา กระท่อมในการบำบัดโรค:ปัญหาและทางออก" ณ ห้องประชุมจิตติ ติงศภัทิย์
นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ....(ฉบับนายสมชาย แสวงการ และคณะเป็นผู้เสนอ) เพื่อแยกกัญชาและใบกระท่อม ให้ใช้ทางการแพทย์ได้นั้น ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความเห็นในเว็บไซต์ได้ ขั้นตอนหลังจากนั้นจึงเสนอเข้าบรรจุในวาระการพิจารณาของที่ประชุมสนช.คาดว่า ธันวาคม ร่างกฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาได้
"สนช.ที่เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายยาเสพติดให้โทษพยายามเร่งการพิจารณาให้เร็วที่สุด เพราะการถอดกัญชากระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด จะเป็นประโยชน์กับประชาชน"
เมื่อถามถึงการมีข้อเสนอให้รัฐบาลคสช.ออกประกาศคสช.มาตรา 44 นั้น นพ.เจตน์ กล่าวว่า เราไม่ขัดข้อง หากมีการออกคำสั่งมาตรา 44 จริง ทางสนช.ก็จะถอยเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ออกไป
สำหรับเหตุผลของการเสนอร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ในปัจจุบันปรากฎผลวิจัยว่า สารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ หลายประเทศทั่วโลกจึงมีการผ่อนปรนโดยการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนใช้พืชกระท่อมและกัญชาทางการแพทย์หรือเพื่อนันทนาการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันพืชกระท่อมและกัญชายังคงพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มีการกำหนดโทษทั้งผู้เสพและผู้ครอบครอง ทั้งที่สภาพความเป็นจริงพบว่า มีผู้ป่วยบางส่วนลักลอบใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมานานหลายปีแล้ว ทั้งผลิตใช้เองและผลิตใช้เชิงพาณิชย์ เป็นผลให้มีราคาแพงและอาจไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการแพทย์และตำรับยา สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำกัญชาและพืชกระท่อมไปทำหารศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสามารถนำไปใช้ในการรักษาภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์ได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้