ไทยเจ็บป่วยด้วยโรคทุจริต นายกฯ เปิดยุทธศาสตร์ ระเบิดจากข้างใน

นายกฯ เผยรัฐบาลใช้หลัก “ระเบิดจากข้างใน” ความโปร่งใสต้องเริ่มจากตนเอง วอนทุกฝ่ายร่วมกันอย่างจริงจัง ด้าน รอง ปธ.วุฒิสภา ชี้การถอดถอนเป็นด่านสุดท้าย เอาคนไม่ดีออกจากตำแหน่ง แนะรัฐปรับปรุงขั้นตอน เพิ่มความรวดเร็ว
วันที่ 6 มิถุนายน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานนิทรรศการและการสัมมนาผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 1 (พ.ศ.2551-2555) ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวเปิดงาน
จากนั้นมีการปาฐกถาพิเศษ โดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ตอนหนึ่งว่า ภาพลักษณ์ของคอร์รัปชั่นในประเทศไทยในสายตานานาชาติยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกไว้แล้ว ได้แก่ 1.การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ 2.การพัฒนาองค์กร โดยข้าราชการไทยต้องไม่มีวัฒนธรรมการซื้อขายตำแหน่ง 3.การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย 4.การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุกทั้งภาครัฐและเอกชน และ 5.การปราบปรามอย่างจริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด
“รัฐบาลได้มีการน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เรียกว่า ”ต้องระเบิดจากข้างใน” ซึ่งรัฐบาลเองอยากให้เกิดจากข้างใน เนื่องจากผู้ปฏิบัติย่อมรู้ดีที่สุดว่าอะไรที่เป็นความเสี่ยง อะไรที่สามารถ ป้องกันได้ และอะไรที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงกำหนดยุทศาสตร์ จัดทำโครงการ 1 หน่วยงาน 1 ข้อเสนอ โดยให้ทุกองค์กร เสนอโครงการจากข้างในว่าโครงการใดที่จะร่วมกันวางระบบ เพื่อลดปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งในวันที่ 25-26 มิถุนายน ก็จะมีการสรุปสุดท้ายเพื่อขอรับการดำเนินการ และรัฐบาลจะให้การสนับสนุน พร้อมติดตามอย่างจริงจัง”
จากนั้นมีการเสวนา เรื่อง “ทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทย” โดยมี ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม คณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น และรศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ร่วมเสวนา
เร่งเยียวยา สังคมเจ็บป่วยด้วยโรคทุจริต
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังเจ็บป่วยด้วย "โรคทุจริต" ต้องเร่งเยียวยารักษาพร้อมๆกับการสร้างภูมิต้านทาน ซึ่งจากยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 1 (พ.ศ.2551-2555) นั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม แม้ผลที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และดัชนีชี้วัดของไทยยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่อย่างไรก็ตามมีผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหลายภาคส่วน นั่นคือ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างกำหนดนโยบายและมุ่งเน้นในการลดการทุจริต เช่น ภาครัฐได้มีการออกกฎหมายที่เข้มข้นในการปราบปรามมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ภาคเอกชมีการรวมตัวเพื่อจัดตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นด้วย
“ฟันเฟืองที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคือ ฝ่ายบริหาร ที่ควรมีความชัดเจน ประกาศเป็นวาระแห่งชาติและมีการติดตามอย่างจริงจัง รวมทั้งมีการสนับสนุนจะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนและในทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ ควรให้มีการผลักดันออกกฎหมายที่สำคัญที่จำเป็นให้ระบบการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สามารถดำเนินการไปได้ตามมาตรฐานสากล และผนึกกำลังกันในทุกองค์กรเพื่อเพิ่มความประสบความสำเร็จ และภาคประชาชนยังมีข้อจำกัดในการเข้ามาร่วมป้องกัน”
สำหรับ ทิศทางในระยะต่อไป 56-60 ปี กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า จุดสำคัญที่จะต้องเน้นคือ กำหนดให้เรื่องของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นวาระแห่งชาติ นั่นหมายถึง ทุกภาคส่วนต้องมาร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง ซึ่งมีส่วนให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มีความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงเน้นการสร้างจิตสำนึก การเปลี่ยนแปลงทัศคติ และสร้างความกดดันให้สังคมไม่ยอมรับคนโกง โดยมองแค่ภายในประเทศไม่ได้แล้ว เพราะเป็นปัญหาระดับสากล รวมทั้งการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ฉะนั้นต้องขยายขอบข่ายไปสู่สากล เพื่อให้ภาพลักษณ์ของไทยดีขึ้น เป็นผลดีต่อการพัฒนาและความมั่นคง
กิตติรัตน์ บอกคอร์รัปชั่น คือการคดโกงราษฎร
ขณะที่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า คอร์รัปชั่น หรือฉ้อราษฎร์บังหลวง คือการคดโกงราษฎร ยกตัวอย่างที่มีการนำงบประมาณของชาติที่เพื่อประโยชน์ของราษฎรไปใช้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นการเข้าข่าย ทั้งฉ้อราษฎร์และบังหลวง นอกจากนี้การทุจริตขยายไปในวงของเจ้าหน้าที่เอกชนที่สามารถแสวงหาประโยชน์ได้ เอาเปรียบองค์กรเอกชนด้วยกัน ฉะนั้นคำว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวงยังใช้ได้กับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
“สิ่งที่รัฐเห็นสำคัญคือกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การจัดซื้อจัดจ้างไม่ว่าจะเป็นรายการใดก็แล้วแต่ ผู้เข้าประมูลต้องได้รับการเปิดเผยรายชื่อในข้อมูลกลาง ซึ่งปัจจุบันได้มีการเริ่มต้นดำเนินการแล้ว แต่ก็ยังหลายหน่วยงานที่อยู่ในภาวะที่บอกว่ายังไม่พร้อมและไม่รับทราบ แต่ทั้งนี้ ก็ได้มีการเตือนเพื่อให้มีการแก้ไขและปรับปรุง” นายกิตติรัตน์ กล่าว และว่า ที่ผ่านมาองค์การการค้าโลกหรือ WTO ได้ให้ประเทศสมาชิก 42 ประเทศ เข้าร่วมในการเปิดเผยการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งแม้ไทยยังไม่ได้เป็นสมาชิก แต่ในครั้งหน้าก็จะเข้าไปเป็นสมาชิกในระดับผู้สังเกตการณ์
เชื่อสังคมเข้มแข็ง ปราบคนโกงอยู่หมัด
ด้าน นายนิคม กล่าวถึงวุฒิสภามีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบรัฐบาล ตั้งแต่งและถอดถอน ซึ่งในส่วนของการออกกฎหมายนั้น เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยการจัดลำดับการพิจารณาการออกกฎหมายนั้น ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประธานรัฐสภา ที่จะพิจารณาว่ากฎหมายใดมีความเร่งด่วนและมีความสำคัญ ฉะนั้น จะเห็นว่าการออกกฎหมายนั้นใช้เวลานาน
“ที่ผ่านมาเรามีดำเนินการถอดถอน 4 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ 1 ครั้งเป็นการถอดถอน กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งทั้ง 4 ครั้งไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากกว่าจะถึงขั้นตอนถอดถอนนั้นใช้เวลานานมาก ทำให้ผลการตัดสินไม่เป็นผลหากมีการเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ รวมถึงการใช้องค์คณะ หรือองค์ประชุม 90 เสียง หรือ 3 ใน 5 ในการถอดถอน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นประเด็นการเมืองที่มีฝักมีฝ่าย ยิ่งการถอดถอนองค์กรอิสระ ที่ต้องใช้เสียง 3 ใน 4 แล้วนั้น ยิ่งส่งผลให้ไม่สามารถถอดถอนได้ ซึ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรค” รองประธานวุฒิสภา กล่าว และว่า ฉะนั้น กระบวนการเหล่านี้ต้องปรับปรุง เพื่อให้คนเกรงกลัวต่อกฎหมาย เพราะเป็นด่านสุดท้ายที่จะนำคนไม่ดีออกจากตำแหน่ง และไม่ให้คอร์รัปชั่นเป็นวัฒนธรรมของคนทำงาน
นายนิคม กล่าวด้วยว่า เรามีหน่วยงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่นค่อนข้างมาก แต่แม้กฎหมายจะดีเพียงใดแต่คนยังหาช่องทางที่จะโกง ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก นอกจากนี้ปัจจุบันสังคมไทยยกย่องคนที่มีอำนาจและมีเงิน โดยไม่คำนึงว่าอำนาจและเงินเหล่านั้นได้มาอย่างไร เหล่านี้เป็นสิ่งทีเลวร้าย
“ไม่ว่าจะออกกฎหมายอย่างไรก็ป้องกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือต้องทำให้สังคมเข้มแข็ง ช่วยในการกำกับพฤติกรรมของนักการเมืองและข้าราชการประจำ เป็นเรื่องน่าหนักใจ หากยังไม่รีบสร้างจิตสำนึกของคนไทยให้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ ในการใช้เม็ดเงินในทางที่ไม่สมควร โดยเฉพาะฝ่ายบริหารที่ต้องเข้มแข็งและปฏิบัติอย่างจริงจัง ในการใช้งบประมาณในทางที่ไม่ถูกไม่ควร”
ขณะที่คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ภาคเอกชนเองยินดีและพร้อมที่จะร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่น โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 40 องค์กร นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการที่เป็นการช่วยส่งเสริมการต่อต้านคอร์รัปชั่น ป้องกันการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการให้บริษัทเอกชนเสนอโครงการในการป้องกันคอร์รัปชั่น และการสอดส่องการกระทำที่เห็นว่าเป็นการทุจริต อย่างโครงการหมาเฝ้าบ้าน เป็นต้น
“นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่กำลังดำเนินการคือ “ฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ” ให้ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รับเงินใต้โต๊ะที่ไม่เป็นธรรม เพราะการเบียดเบียนคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงปราศนา ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการแข่งขันที่เป็นธรรม ลดต้นทุน และการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน และภาคเอกชนยังมีส่วนร่วมในโครงการกระตุ้นและปลูกจิตสำนึกของเยาวชนด้วย เพื่อให้มีใจในการกำจัดการคอร์รัปชั่น”
ถอดถอนใครไม่ได้ กม.เป็นเป็นเพียงเครื่องมือลอยอยู่บนฟ้า
ส่วนรศ.ดร.จุรี กล่าวว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ไม่เน้นการปราบปราม แต่จะเน้นในมิติของการป้องกัน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ ป.ป.ช. มาโดยตลอด ซึ่งการปราบปรามนั้นต้องมีความเข้มแข็ง เช่น ในเรื่องของการถอดถอนผู้กระทำผิด ที่หากไม่สามารถถอดถอนใครได้ กฎหมายก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ลอยอยู่บนฟ้าเท่านั้น ในขณะที่หากกฎหมายดีแค่ไหน แต่ผู้ที่นำไปปฏิบัติไม่เอาก็จะไม่เกิดผลเท่าที่ควร
“อีกด้านอยู่ที่จิตสำนึกของตัวคนเอง ว่ามีความเข้าใจ มีความรักความเป็นธรรม และมีความรับผิดชอบในการกระทำของเราหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเป็นการปลูกจิตสำนึกของประชาชน การถ่ายทอดในเรื่องจริยธรรมคุณธรรม ต้องเน้นวิธีการดูดซึม ให้เรียนรู้ในทางอ้อม ที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้จริงๆ ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว ในการปลูกฝังและสร้างจิตสาธารณะ ที่จะช่วยให้สังคมมีภูมิคุ้มกันในเรื่องของการคอร์รัปชั่น”
