ล้วงลึก "สุภัทร จำปาทอง" กับภารกิจ ถือกระจกส่องคุณภาพ 'ศูนย์ศึกษานอกที่ตั้ง'

"จากที่ลุยตรวจสอบพื้นที่จริง กว่า 70 ศูนย์
พบมีศูนย์ฯ ที่จัดการศึกษาได้คุณภาพ
ผ่านเกณฑ์เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น"
ในช่วงหลายปีมานี้ คุณภาพการศึกษาของไทยถูกตั้งคำถามอย่างหนัก หนึ่งในนั้นคือเรื่องการจัดตั้งศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษา ที่ไปเปิดสอนในพื้นที่ต่างๆ
หลายคนสงสัยว่า บัณฑิตที่จบมานั้นจะได้รับการพัฒนาทักษะความรู้ เทียบเคียงกับการเรียนการสอนในรั้วมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีบุคลากร อุปกรณ์การเรียนการสอนจำนวนมากได้จริงหรือไม่ ? และพอจะมีกฎเกณฑ์ใดบ้าง ที่จะควบคุมให้ศูนย์การศึกษาเหล่านั้น รักษามาตรฐานได้อย่างคงเส้นคงวา
“ศูนย์ข่าวนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นายสุภัทร จำปาทอง” ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา หน่วยงานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการรวบรวมข้อมูลหลักสูตร ติดตามตรวจสอบ ประเมินผลการจัดการศึกษา พร้อมทั้งประกันคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
โดย ผอ.สุภัทร เริ่มต้นเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุด เกี่ยวกับการเปิดศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งของมหาวิทยาลัย โดยระบุว่า เมื่อ ต้นปี 2555 มีศูนย์การศึกษาฯ ที่แจ้งเข้ามายัง สกอ.อย่างเป็นทางการจำนวนทั้งสิ้น 313 ศูนย์ฯ บางศูนย์ฯ เปิดการเรียนสอนมากสุด 5-6 หลักสูตร
และถ้าจัดอันดับกันแล้วจะพบว่า หลักสูตรที่นิยมเปิดสอนเป็นอันดับหนึ่งคือ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ รองลงมา คือ บริหารธุรกิจ บัญชี ส่วนนิติศาสตร์ก็พอมีให้เห็นบ้างประปราย
“พูดง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นสาขาด้านสังคมศาสตร์ เพราะสาขาด้านวิทยาศาสตร์เปิดยาก เนื่องจากถูกบังคับว่าต้องมีห้องแล็บ”
และจากที่ลุยตรวจสอบพื้นที่จริงไปแล้วกว่า 70 ศูนย์ พบในจำนวนนี้มีศูนย์ฯ ที่จัดการศึกษาได้คุณภาพ ผ่านเกณฑ์มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ขณะที่บางศูนย์ฯ ก็ผ่านแบบร่องแร่ง
“ปัญหาที่เราตรวจพบ ข้อด้อยที่สุดคือเรื่องคุณวุฒิ คุณภาพอาจารย์ 1.ไม่ตรงตามที่แจ้ง 2.จำนวนไม่ครบ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นปัญหาหนักอกที่แก้ไม่ได้ และ 3.คุณวุฒิไม่ตรง เช่น จะเปิดหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ สัดส่วนอาจารย์ 5 คนควรจะจบด้านนี้โดยตรงสัก 3-4 คน ส่วนสายที่เกี่ยวพันก็ถัวได้สักคนสองคน ขณะที่คุณวุฒิอาจารย์ เกณฑ์ระบุว่า 2 ใน 5 คนอย่างน้อยต้องจบปริญญาโท หรือเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์”
ขณะเดียวกันถ้าเป็นศูนย์นอกที่ตั้ง อาจารย์ต้องประจำ 100% ไม่ใช่วิ่งมาสอน (เน้นเสียง ก่อนถามย้ำ นึกออกไหมครับ)
"ถ้าพูดในภาษาคนอื่นเขามักบอกว่า ‘ทำไร่เลื่อนลอย’ แต่ผมก็ไม่อยากใช้คำนั้นนะ ผมหมายความว่า อาจารย์ต้องประจำอยู่ที่ศูนย์ฯ ห้องพักอาจารย์ต้องมี นักศึกษามีปัญหาเมื่อไหร่สามารถเข้าไปปรึกษาได้ตลอด เพราะถึงแม้จะแก้ตัวว่า เทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้าไปไกล เฟซบุ๊ก สไกด์ หรืออีเมลถามก็ได้ แต่เราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่า อาจารย์ให้คำปรึกษา หรือให้คำตอบภายใน 24 ชั่วโมงกับลูกศิษย์"
(อืม)...จริงๆ ผมว่า การสื่อสารแบบเผชิญหน้า (face to face) ยังเป็นประเด็นหลัก นอกจากนี้นักศึกษายังควรต้องได้รับสิ่งที่เป็นความรู้และสภาพแวดล้อมที่ไม่ ควรแตกต่างจากสถานศึกษาในที่ตั้งมากนัก
ช่วยอธิบายขั้นตอนการตรวจประเมินเป็นอย่างไร?
ตามบทบาท หน้าที่ของสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สกอ. คือช่วยส่งเสริม ให้คำแนะนำในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่สถานศึกษานอกที่ตั้ง พูดง่ายๆ คือช่วยมหาวิทยาลัยดูว่า อะไรที่ดีแล้ว หรือต้องปรับปรุง เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลไปถึงคุณภาพการเรียนการสอนของนักศึกษา
สิ่งที่ สกอ.ปฏิบัติก็คือ พยายามรักษาประโยชน์ของผู้บริโภค ทั้งนักศึกษาและผู้ปกครอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า สิ่งที่เราให้การรับทราบว่า หลักสูตรนั้นมีคุณภาพ เป็นไปตามนั้นจริงหรือไม่
ขั้นตอนการตรวจสอบ เบื้องต้น สกอ.จะตรวจสอบจากเอกสารที่มหาวิทยาลัยยืนเข้ามา ถ้าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด สกอ.ก็จะรับทราบเอกสาร
แต่ในการดำเนินการจริงย่อมมีความแตกต่างอยู่บ้าง บางแห่งก็ทำไปตามนั้น บางแห่งก็เปลี่ยนแปลงโดยบอก หรือไม่บอกเรา ทำให้ สกอ.ต้องมีการออกไปตรวจเยี่ยมศูนย์นอกที่ตั้ง เพื่อเป็น "กระจก" สะท้อนให้กับสถาบันอุดมศึกษาได้รับทราบสถานะของตัวเอง
ส่วนการที่จะไปบอกว่า คนอื่นทำดีแล้วหรือไม่ดีนั้นก็มีข้อพิจารณาอยู่ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2551 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ พ.ศ.2552 รวมทั้งประกาศคณะกรรมการการอุดมศึกษาเรื่องหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยว กับการพิจารณาประเมินคุณภาพการจัดการศึกษานอกที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2552 กำหนดไว้ใน 7 ประเด็นคือ
1.ด้านคุณภาพอาจารย์ 2.ด้านนักศึกษา 3.ด้านสถานที่ 4.ด้านสิ่งสนับสนุนทางการศึกษาและการจัดบริการนักศึกษา 5.ด้านวัตถุประสงค์การเปิดหลักสูตร 6.ด้านการบริหารการประสานงานระหว่างศูนย์กับสถานที่ตั้งหลักที่มีความเชื่อม โยง การลงทะเบียน วัดผล ทดสอบ และ 7.ด้านอื่นๆ ที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษาและผลประโยชน์ของนักศึกษา โดยขั้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ตรวจประเมิน
ขณะเดียวกันได้กำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) หรืออนุกรรมการหลักของ กกอ. อาจารย์ที่มีความรู้ในสาขานั้นเฉพาะทาง ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมิน เช่น ด้านกายภาพ ระบบไอที ห้องสมุด
"บางที่ที่เราไปตรวจหนังสือก็เยอะดี แต่นักศึกษาไม่ได้ใช้ เปิดขึ้นมายังใหม่เอี่ยม ไม่มีการยืม"
ส่วนการบริหารจัดการ ระบบวัดผล เมื่อนักศึกษาสอบไม่พร้อมกัน วิธีการวัดผลจะทำอย่างไรให้เป็นไม้บรรทัดเดียวกัน ความยาก ง่ายของข้อสอบใกล้เคียงกัน
"บางทีเราก็ต้องให้นักศึกษาทดสอบการใช้ระบบไอทีให้เราดูว่า สามารถทำได้จริงหรือไม่ เพราะต้องเข้าใจว่า คนที่เรียนศูนย์นอกที่ตั้งส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ วัยทำงานแล้ว"
นอกจากนี้ เขายังอธิบายให้ฟัง ถึงการต้องไปสัมภาษณ์อาจารย์ นักศึกษา ผู้บริหาร ซึ่งจากประสบการณ์บางครั้งสัมภาษณ์นักศึกษาก็รู้ได้เลยว่า ผ่านหรือไม่ผ่าน (ยิ้ม) ก่อนจะยกตัวอย่างกรณีไปถามว่า นักศึกษาได้เรียนกับอาจารย์คนนั้นคนนี้หรือไม่ บางคนหน้าเหรอ บอกขึ้นปีที่ 2 แล้ว ยังไม่เคยเจออาจารย์คนนี้เลย แบบนี้ก็ต้องเติมเต็มให้กับนักศึกษาด้วย
และเมื่อประเมินครบ ข้อหนึ่งดี ข้อสองไม่ค่อยดี ข้อสามดีมาก มันก็จะเป็นเหมือนกับกราฟ ซึ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็จะต้องสรุปเป็นความคิดเห็นออกมา สิ่งที่ต้องปรับปรุงมีอะไรบ้าง มีข้อเสนอแนะอย่างไร ซึ่งผลการประเมินแต่ละรายหลักสูตรนั้น จะถูกนำเสนอต่ออนุกรรมการด้านมาตรฐานอุดมศึกษา ให้ทราบถึงเหตุผลของการประเมินแต่ละเรื่อง
หลังจากอนุฯ รับทราบ จึงเสนอต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นบอร์ดชุดใหญ่รับทราบอีกครั้ง ก่อนแจ้งผลไปยังมหาวิทยาลัยต่อไป
"จริงๆ แล้วถ้าศูนย์ฯ ไหนโอเค เราก็แจ้งไปก่อนได้เลย ส่วนที่ยังไม่ค่อยโอเคก็รอให้บอร์ดสักถามอีกที" ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา ลำดับให้เห็นขั้นตอน และวางแผน 313 ศูนย์ฯ จะดำเนินการให้เสร็จภายในครึ่งปีแรก แต่ด้วยข้อจำกัดของกรรมการที่ต้องไปประเมิน ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งในการประเมินต่อ 1 หลักสูตรใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมง คิดดูถ้าไปที่ศูนย์แห่งหนึ่งและมี 5 หลักสูตร วันเดียวไม่น่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
การลงตรวจจริง ได้แจ้งให้ศูนย์เตรียมตัวก่อนหรือไม่?
(ตอบทันที) แจ้ง เพราะถ้าไปไม่เจอ ไม่ได้
แต่จะบอกว่าผักชีโรยหน้าได้ไหม (นิ่งคิด) ผมว่าอาจารย์ที่เข้าไปตรวจเขาไม่ได้ผักชีโรยหน้าแน่นอน ต้องสัมภาษณ์ ตรวจดูองค์ประกอบทั้งหมด ระบบอินเตอร์เน็ต wifi ห้องสมุด ตามหลักเกณฑ์ เอ บี ซี ดี แต่การตรวจดูนั้น ตัวเลขไม่ใช่ไบเบิล เราดูความเหมาะสม เช่น กรณีหนังสือน้อยกว่าปกติ แต่ระบบการศึกษาปัจจุบันนักศึกษาสามารถเข้าถึงผ่านอินเตอร์เน็ต เรื่องนี้แทนกันได้ คลุมได้
ศูนย์ฯ ผุดขึ้นราวดอกเห็น แต่ สกอ.ตรวจสอบได้ล่าช้า?
ประเด็นมันแบบ นี้ครับ (ค่อยๆ เปิดเอกสารให้ดู) บางที่เราก็ต้องยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ของ สกอ. มีเต็มไปหมด แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษามีประมาณ 40 กว่าคน ต้องตรวจหลักสูตร ทั้งในและนอกสถานที่ตั้ง
"ถ้าสมมติเรื่องเข้ามาประมาณอาทิตย์ละ 200 เรื่อง ทำไม่ทันหรอกครับ มันจึงล่าช้า"
อีกเรื่องที่ผมอยากยกตัวอย่างนะครับ เช่น สภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้เปิดรับนักศึกษาวันที่ 5 มิถุนายน แต่พึ่งยืนเรื่องให้ สกอ. เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมก็ตรวจเอกสารให้ท่านไม่ทัน (ถอนหายใจ) บางมหาวิทยาลัยบางทียังไม่ได้ดูเลย นี่เป็นเรื่องจริง
แต่แค่ผมลองพลิกดูหลักสูตรเล่นๆ ก็รู้แล้วว่าไม่ผ่านหรอก เดี๋ยวก็ต้องส่งกลับ เพราะมันผิดอยู่แล้ว
ทีนี้ถ้าตรวจไม่ทันแล้วทำอย่างไร?
ต่อให้เขาเปิดไปก่อน ถ้าผู้บริหารปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำที่กำหนดไว้ มันก็ต้องผ่านแน่นอนอยู่แล้ว
“เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ที่เราออกมานั้นก็เพื่อรักษาคุณภาพการศึกษา รักษาผลประโยชน์ผู้เรียนที่ต้องได้ แม้จะยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มาก เราไม่ได้หมายความว่า เกณฑ์การเรียนการสอนของ สกอ.เป็น the one best way ดำเนินการได้ถูกทุกเรื่อง 100 % แต่เมื่อการขยายโอกาสทางการศึกษากับการดำเนินการด้านคุณภาพต้องไปด้วยกัน การจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งนั้นมันก็ต้องมีเงื่อนไข เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ที่คุณจะต้องทำให้ได้!!”
ตั้งแต่ตรวจมาเคยเจอการจัดตั้งศูนย์ฯ ในสถานที่แปลกๆ บ้างไหม เช่น ปั๊มน้ำมัน วัด ทำนองนี้?
เท่าที่ลงไปตรวจสอบ 70 กว่าศูนย์ยังไม่พบ ส่วนมากจะเป็นอาคารเช่า หรือสร้างอาคารเป็นของตนเอง บางที่สร้างอาคารหลายชั้นรองรับนักศึกษาได้เป็นพันคน แต่สุดท้ายประเมินแล้วยังต้องร่วง ต้องปรับปรุงเลย อย่างที่บอกองค์ประกอบมีหลายอย่าง
แต่สิ่งที่เรากังวลในเรื่องการใช้สถานที่ คือใช้สถานที่ปะปน เช่น ห้องเล็กเชอร์ ไปเช่าพื้นที่ของโรงเรียนประถม เพื่อจัดการเรียนการสอน ห้องคอมฯ ก็ต้องไปใช้ของนักเรียนประถม โปรแกรมมันคงไม่สูงมากนัก ยังไม่รู้เลยว่ามีโปรแกรมพาวเวอร์พอยให้ใช้รึเปล่า และยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า ไปใช้สถานที่อย่างนั้นแล้ว ห้องสมุดจะอยู่ที่ไหน
...ทักษะของนักศึกษาจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาเยอะพอสมควร เพราะบางที่ไม่ค่อยอยากลงทุน
ส่วนศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งโดยเช่าพื้นที่ของวัด หรือปั๊มน้ำมันนั้น ผมยังไม่เคยเห็นนะ อาจจงใจลับลอบ หรือยังไม่ได้แจ้งก็เป็นได้ (ยิ้ม)
ยังไม่ได้แจ้ง หมายความว่าศูนย์การศึกษาเปิดสอนไปก่อนแล้วค่อยแจ้งได้ใช่หรือไม่?
จริงๆ ถ้าโดยเซนต์ของคน ควรต้องแจ้งให้ สกอ. ทราบก่อน
แต่...มีปัญหาบ้านเราอยู่ตรงที่ว่า ข้อกฎหมายไทยได้เขียนว่า การอนุมัติให้เปิดหลักสูตรต่างๆ ทั้งในส่วนของรัฐและเอกชน สามารถอนุมัติได้โดยสภามหาวิทยาลัย สกอ.ไม่ได้เป็นผู้อนุมัติ แต่การที่จะอนุมัติให้เปิดศูนย์ฯ และเปิดสอนได้นั้น ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์มาตรฐานอุดมศึกษาที่ สกอ. กำหนด
เช่น ถ้าคุณจะเปิดสอนได้ต้องผูกไทใส่สูท แต่เอาเข้าจริงบางคนอาจทำได้แค่ใส่เสื้อยึดเท่านั้น
ขณะเดียวกันความตั้งใจของผู้บริหาร ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก ยกตัวอย่างแค่เรื่องอาจารย์เรื่องเดียวนะ คุณวุฒิปริญญาโท ค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งเป็นแสน ค่าสถานที่ ถ้าต้องเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟเดือนหนึ่งหลายเป็นแสนนะครับ (ลากเสียงยาว) ผมยังไม่ได้พูดถึงหนังสือ ระบบไอทีต่างๆ ที่ต้องลงทุนอีก ไม่รู้เท่าไหร่ ฉะนั้น การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ เพื่อให้นักศึกษาได้รับบริการอย่างถูกต้อง การลงทุนไม่น้อย
เอกชนระดับกลางๆ บางแห่ง สามารถผลิตบัณฑิตคุณภาพสูสีกับมหาวิทยาลัยของรัฐใหญ่ๆ ในภาคอีสานได้เลย เพราะเขาไม่ค่อยเปิดศูนย์นอกที่ตั้ง เน้นพัฒนาภายในมหาวิทยาลัยให้แข็งแกร่ง เชื่อว่าสุดท้ายแล้วมหาวิทยาลัยจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักศึกษาเข้ามาเอง
และถ้าไปดูจะเห็นว่า ส่วนใหญ่พวกที่เปิดศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง มักเป็นสถาบันเล็กๆ หวังจะได้นักศึกษา ส่วนแบ่งด้านธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มของนักศึกษาที่ได้เงินกู้ กยศ. ซึ่งจะเป็นที่หมายปองของมหาวิทยาลัยแบบนี้พอสมควร ตรงนี้ก็เป็นดาบสองคม
ถ้าเปิดการเรียนการสอนไปแล้ว สกอ. พึ่งไปตรวจพบว่าไม่ผ่าน นักศึกษาจะทำยังไง?
สำหรับผมคุณภาพการศึกษา การเรียนการสอนมันเป็นปัญหาโลกแตก
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ผมใช้คำว่า 'นักศึกษาเป็นตัวประกัน' ผมมักจะเรียกว่าอย่างนั้น เพราะสุดท้ายนักศึกษาก็จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จริงอยู่ มหาวิทยาลัยอาจจะเสียชื่อเสียง ได้รับผมกระทบในแง่ภาพลักษณ์ ธุรกิจการค้าแต่ก็เท่านั้น
นักศึกษาส่วนมากที่เลือกเรียนนอกที่ตั้ง คาดหวังว่าจะได้เรียนใกล้บ้าน เดินทางสะดวก ทำนองนี้ แต่มีหลายแห่งที่มหาวิทยาลัยยอมรับสภาพและปิดศูนย์ฯ ลง ต้องดึงนักศึกษากลับมาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลัก
"ผมเคยรับหนังสือร้องเรียน จากนักศึกษา มหาวิทยาลัยไปสัญญากับเขาว่าจะสอนที่จังหวัดบุรีรัมย์ พอมหาวิทยาลัยเห็นว่าตัวเองทำไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ใช้วิธีเช่ารถบัสเหมาให้นักศึกษาเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ เดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ อย่างงี้นักศึกษาก็ได้รับผลกระทบ "
ฉะนั้น มหาวิทยาลัยควรจะคิดตระหนักให้ดี การจัดการศึกษานอกที่ตั้งต้องทำให้ได้คุณภาพเดียวกับมหาวิทยาลัยในที่ตั้ง และคุณภาพในที่ตั้งกับนอกที่ตั้งจะต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของ สกอ.
"เราไม่ได้คิดจะเพิ่มภาระงานให้แก่ท่าน แต่ผู้เรียนต้องได้รับความรู้ที่ตรงกับวิทยฐานะ เพราะถ้าได้คนไม่มีคุณภาพ ทำงานไม่ได้ ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร อย่าลืมเพื่อนๆ กำลังหายใจลดต้นคอเราอยู่"
แล้วในกรณีที่ตรวจพบว่า ศูนย์ฯ ไม่ผ่านมาตรฐาน ต้องปรับปรุงจะดำเนินการอย่างไร?
ปกติเราจะให้เวลาในการปรับปรุง 1 เทอมแล้วประเมินอีกครั้ง
สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ไม่ต้องการทะเลาะกับใคร เราต้องการประกันให้ได้ว่า ผู้เรียนได้ในสิ่งที่เขาจ่าย ทั้งในแง่เม็ดเงิน และแรงกาย
ถ้าท่านใส่ให้เขาไม่ครบก็แสดงว่า ท่านไม่ได้ทำหน้าที่ ครูอาจารย์อย่างที่ควรจะเป็น ท่านไม่ได้ส่งเสริมลูกศิษย์ให้มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน เขาต้องได้ทั้งความรู้ และทักษะ สมกับที่เขาเป็นบัณฑิต
และถ้าบอกแจ้งแล้ว ไม่ปรับปรุง จะใช้ยาแรงอย่างไร?
เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้ เพราะเป็นมาตรการของ สกอ.
แต่ผมเชื่อว่าหลังจากที่เราเริ่มแจ้งออกไป มันคงต้องเริ่มคิดแล้วว่า จะทำยังไง เพื่อส่งเสริมให้ท่านพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทำอย่างไรให้ผู้เรียนได้การศึกษา เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ถ้าท่านอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเส้นปะ ก็ต้องปรับปรุงให้ชัดเจน
จะมีผลต่อใบปริญญาหรือไม่?
ยังไม่ถึงขั้น นั้น ผมตอบไม่ได้ตรงนั้น เพราะผมไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ ผมเป็นแค่คนเสนอ ข้อเสนอของผมอาจจะไม่ได้ความเลยเขาอาจจะไม่ดูก็ได้ ต้องเข้าใจว่า สกอ.เป็นผู้ต้องรับผิดชอบ
โดยส่วนตัว ท่านมีแนวคิดในเรื่องนี้อย่างไร?
ผมไม่ตอบคำถามนี้ เพราะผมไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการดำเนินการ
ไอเดียมันมีสเต็ป หนึ่ง สอง สามอยู่ แต่ สกอ.จะเป็นผู้พิจารณา ออกมาตรการ วันนี้เราทำหน้าที่เป็นแค่กระจก สะท้อนเท่านั้น
"ผมยุ่ง ก็ต้องหวีให้ดี"
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจประเมินและข้อเสนอต่างๆ จะถูกนำเสนอเข้าต่อที่ประชุม กกอ. นัดแรกในวันที่ 7 มิถุนายนนี้
เมื่อถามถึงปฏิกิริยาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ต่อการประเมินผลของ สกอ. ว่า ทำให้มหาวิทยาลัยเสียหาย ผอ.สุภัทร กล่าวในช่วงท้ายว่า เรื่องนี้เป็นปกติ ที่เขาต้องปกป้อง หรือตอบโต้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ เราจะมาร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทยให้ยืนอยู่บนมาตรฐานปกติดีไหม เพราะถ้าคิดเช่นนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่ต้องช่วยกัน ในการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทย
แต่ถ้าวันนี้เราจะมาถกเถียงกันแค่เรื่องของมาตรฐานว่า ทำได้หรือไม่ได้ ต้องระวังว่าประเทศจะเสียเวลาพอสมควร เราจะต้องแข่งขัน มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง เพื่อทดการนำเข้า ผมว่าประเทศเราน่าจะมาคุยกันเรื่องนี้มากกว่า
