ชาวจุฬาฯค้านSMS"ความจริงวันนี้" อ้าง“อ. จุฬาฯแนะตัดอำนาจองคมนตรี”

ผมได้รับทราบว่า มี SMS ข่าวของ “ความจริงวันนี้” เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2555 เวลา 14:04 น. ระบุว่า “อ. จุฬาฯ แนะตัดอำนาจองคมนตรี-ผู้นำกองทัพต่อการเมือง” ผมในฐานะนิสิตเก่า จุฬาฯ อดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ปีการศึกษา 2527 ขอคัดค้านการกล่าวอ้างว่าเป็นการเสนอของ อ. จุฬาฯ ด้วยเป็นเพียงอาจารย์บางท่านแสดงความเห็นเพียงส่วนตัวเท่านั้น
ซึ่งความเห็นที่หลากหลาย ก็เป็นความงดงาม ขอเพียงไม่นำไปสู่ความแตกแยก และควรอยู่ใน “ความจริง” ไม่ใช่ “ความเท็จ” ให้สมกับการเป็น “ความจริงวันนี้”
ผมก็รักชาติเหมือนๆ อาจารย์ท่านนั้น โดยความเห็นส่วนตัวเช่นกัน ผมยังเห็นว่า พัฒนาการของประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ควรเป็นไปตามบริบท และเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขสูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ
ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยการนำของคณะราษฎร์ ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 หลังจากนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ รวมทั้งความเสียหายแก่บ้านเมือง และเนื่องจากพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎร์ที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองและได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรดังกล่าว เหตุการณ์บ้านเมือง มีความสับสนวุ่นวาย อาญาสิทธิในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลายเป็นการผูกขาดอำนาจเผด็จการในระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎร์กำหนดให้ จนมีคำกล่าวขานเป็นคำคล้องจองว่า "พระยาพหลต้นคิด หลวงประดิษฐ์ต้นเรื่อง โค่นอำนาจพระราชา ปล่อยหมูปล่อยหมามานั่งเมือง"
วันที่ 2 มีนาคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสละราชสมบัติ โดยพระราชหัตถเลขา ความว่า
“ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน”
ผมเองยังอาจจะเด็ก เมื่อพูดถึงเรื่องพัฒนาประชาธิปไตยในยุคนั้น แต่ผมก็คิดว่า ประเทศไทย ก็ยังได้มีประชาธิปไตยที่พัฒนามาได้ดีพอสมควร ขอเพียงแต่ให้นักการเมือง ยกระดับขึ้น เลิกหวังที่จะเพียงเข้ามายึดอำนาจเพื่อเป็น “ธุรกิจการเมือง” ประชาธิปไตยไทย ก็จะพัฒนาสูงขึ้น
ผมเกิดมาโชคดี อยู่ในแผ่นดินไทยที่งดงาม มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติ ทรงมีคณะองคมนตรีช่วยสนับสนุนการทรงงานเพื่อปวงประชา เรายังมีข้าราชการที่ยังจงรักภักดี รักษาความสัตย์ซื่อ เหนือการรับใช้นักการเมืองทุจริตหลายคนที่มุ่งเพียง “ธุรกิจการเมือง” (ยกเว้นบางท่านที่ผมเคารพยังมุ่งทำเพื่อประชาชน) ผมเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังคงเป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุดกับประเทศไทยในปัจจุบัน
ในยุคหนึ่ง ที่คอมมิวนิสต์จะครองเมือง ที่สร้างความหวังกันว่า “เมื่อถึงวันท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ซึ่งผมก็เชื่อว่า ปัจจุบัน “ท้องฟ้าก็สีทองผ่องอำไพอยู่แล้ว” ผมเป็นประชาชนคนไทย ผมมีสิทธิ์เลือกผู้บริหารประเทศ คนที่ผมเลือกอาจได้ครองอำนาจ ...หรือถ้าไม่ ก็ยังคงเป็นตัวแทนคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้ครองอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยดีอยู่แล้ว จึงสรุปว่า “ประชาชนก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินอยู่แล้ว”
แต่คำอ้างว่า ประชาชน “จะ” เป็นใหญ่ในแผ่นดิน กลับนำไปสู่การปกครองผูกขาดแบบคอมมิวนิสต์ ทั้งเวียดนาม (เหนือ) ลาว และ กัมพูชา หรือ เกาหลีเหนือ ด้วยหลักการ “เราจะสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างคนรวยคนจน” ผลก็คือ “เท่าเทียม” กันจริงครับ คือ “จนเท่าเทียมกันหมด” ครับ
ผมไปเวียดนามเหนือมาเมื่อปี 1998 คนรอลากรถ 2 ชั่วโมงเพื่อเงิน 20 บาทก็ยอมรอ เพราะยากจนทั้งแผ่นดิน
กัมพูชา รบรากันด้วยการแย่งอำนาจการปกครองโดยอ้างการช่วยเหลือคนจนกันทั้งนั้น จนคนตายเป็นล้านๆคน
เกาหลีเหนือเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันมีรายได้ 1 ใน 15 เท่าของเกาหลีใต้ที่เป็นระบบเสรีนิยม คนจนในเกาหลีใต้ก็มีเหมือนกัน แต่ร่ำรวยกว่า คนฐานะปานกลางทั่วไปในเกาหลีเหนือหลายเท่า !
ยุควิกฤตต้มยำกุ้ง สมัยรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ขนาดมีอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็พาประเทศลงเหวลึก มีความไม่โปร่งใสในการจัดการกองทุนระหว่างประเทศ จนในที่สุด ทุนสำรองสุทธิเหลือต่ำสุด 7 พันล้านเหรียญ จากในอดีตที่มีถึง 4 หมื่นล้านเหรียญ ประชาชนลำบาก เป็น NPL กันมากมาย แต่นักการเมืองเปิดโปงกันเองว่า มีคนรวยจากการเผาบ้านเผาเมืองเอาประกัน รวยค่าเงินบาท ชาวบ้านล้มละลายกันทั้งบ้านทั้งเมือง รวยอยู่คนเดียว
วิกฤตการเมืองในยุคปัจจุบัน รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2540 พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก็ห้ามนักการเมืองถือครองกิจการสัมปทานผูกขาด แต่กลับมีข่าวการนำหุ้นไปซุกซ่อนไว้กับญาติคนใกล้ชิด ซึ่งคำพิพากษาของศาลหลังการให้ทุกฝ่ายได้ชี้แจงหลักฐาน ก็ชี้ชัดดังนั้น ประชาชนไม่เห็นการใช้หลักฐานแก้คดีความ แต่กลับสร้างประเด็นให้เป็นความแตกแยกในบ้านเมือง ผู้คนไม่รักกัน ขาดความสุข ต้องสูญเสีย ก็ไม่สำคัญ อย่าให้ใครเห็นชัดถึงเนื้อหาหลักฐานแห่งคดีความ
การเมืองวันนี้ ก็ใช้วิธีเลี่ยงกฎหมาย พรรคการเมือง กับมวลชนบางกลุ่ม เป็นบุคคลากรชุดเดียวกัน แต่ส่วนใดที่พรรคการเมืองทำไม่ได้ เพราะเข้าข่ายใส่ร้ายด้วยความเท็จ ก็จัดให้เป็นการทำของมวลชน
... ด้านคดี ไม่มีการโต้คดีแบบ 2 ฝ่าย
... ด้านการเมือง ไม่มีการโต้วาที (ดีเบต) แสดงวิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อแข่งกันแสดงความคิด สติปัญญา จิตใจ ความโปร่งใส ดังประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลี สิงคโปร์ ฯลฯ
ขณะนี้...รัฐบาลมีอำนาจเต็ม แทนที่จะทุ่มเทแก้ปัญหาเร่งด่วนของประชาชน ทั้งเรื่องปัญหา “แพงทั้งแผ่นดิน” ปัญหาชดเชยน้ำท่วมให้เป็นธรรม ทั่วถึง และทันการ ก่อนน้ำท่วมรอบใหม่ การป้องกันน้ำท่วมในปีต่อไป การเตรียมการจำนำข้าว (ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก) การเยียวยาเอกชนเพื่อให้พร้อมจ่ายค่าแรง 300 บาท/วัน ฯลฯ รัฐบาลก็ไม่ควรมุ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ผลักดัน พ.ร.บ. (อ้าง) ปรองดอง จนก่อเกิดความวุ่นวาย เพราะจะเป็นการแสดงออกว่า รัฐบาลอาจให้ความสำคัญกับการหาประโยชน์ส่วนครอบครัว มาก่อนประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม
ถ้านักการเมืองอ้างประชาธิปไตย แต่กลับอาจมีการใช้อำนาจกดขี่ประชาชน ยังอาจมีความคิดคดโกงประเทศชาติ ยังอาจมีการวางตัวเหนือกฎหมาย ผมว่าการที่ยังคงสถาบันองคมนตรี ข้าราชการที่สัตย์ซื่อ ให้ประชาชนอุ่นใจก็ยังน่าจะดีกว่า
รอจนนักการเมืองเคารพประชาธิปไตยที่แท้จริง ทำงานอย่างตั้งใจเพื่อประชาชน หลังจากนั้น การผ่อนคลายอำนาจอื่นๆ จะเกิดขึ้นเองครับ
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
