SCBคาดเศรษฐกิจไทยปี 2012 จะขยายตัว 5.6-5.8% แต่ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกมีเพิ่มขึ้น
เขียนวันที่
วันจันทร์ ที่ 11 มิถุนายน 2555 เวลา 15:05 น.
เขียนโดย
ดร. พชรพจน์ นันทรามาศ
หมวดหมู่

อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP)
เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีแรงขับเคลื่อนมาจากการใช้จ่ายภาคเอกชน ซึ่งเห็นได้จากความต้องการสินเชื่อที่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างสินเชื่อในไตรมาสแรกเติบโตถึง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงจากการเบิกจ่ายเงินเพื่อการลงทุนจากพรก.บริหารจัดการน้ำฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุปสงค์ในประเทศขยายตัวได้ดีต่อไป
วิกฤติภาคการเงินของยุโรปส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากเศรษฐกิจยุโรปที่ถดถอยแล้ว การที่ธนาคารในประเทศใหญ่ๆ เช่น สเปน และอิตาลีต้องลดการปล่อยสินเชื่อภาคเอกชนลง เพราะกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะผลกระทบต่อการบริโภครวมถึงการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ 3.0% ในปี 2012
เงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ 2.7% ในไตรมาส 4 ซึ่งยังไม่เกินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับขึ้นราคาสินค้าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
จับตาดูอุปสงค์ในประเทศ หากการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวได้ดีในสองไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ธปท.น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในช่วงต้นปี 2013
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2012 จะยังเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.5-4.0 % แม้ว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงจากที่คาดไว้เดิม
การลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทำให้การขึ้นราคาสินค้าชะลอลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผู้ประกอบการยังต้องปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปแล้วเช่น ค่าจ้างแรงงาน และวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่รอการปรับขึ้นราคาอีกหลายรายการ อาทิ ไฟฟ้า แก๊ส LPG สำหรับรถยนต์ และสินค้าอื่นๆ ที่รัฐบาลขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการให้ชะลอการขึ้นราคาเป็นระยะเวลา 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน) ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อจึงไม่ลดลงจากการประเมินเดิมมากนัก และยังจะมีค่าเฉลี่ยสำหรับปีนี้อยู่ที่ 3.5-4.0%
เงินบาทจะแกว่งตัวในช่วง 30-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ความผันผวนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้ามีสูง เพราะมีปัจจัยความเสี่ยงหลายประการ เช่น ผลการเลือกตั้งของกรีซในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่อาจจะตัดสินว่ากรีซจะยังเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไปหรือไม่ และแนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ทำให้นักลงทุนมีความไม่มั่นใจในการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ในยุโรปมีความชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เงินบาทจึงมีแนวโน้มแข็งค่าได้ตามเงินสกุลอื่นในภูมิภาค
