'ขุนค้อน' ถอยไม่พิจารณากม.ปรองดอง-แก้รธน วาระ 3 สมัยประชุมนี้

สมศักดิ์ ยัน ไม่โหวตร่างแก้รธน. -พิจารณา พ.ร.บ. ปรองดองแน่นอน ด้านปชป.-วุฒิสภา เห็นด้วย ฝั่งส.ส. เพื่อไทย ค้าน ชี้ ประธานฯ จะวินิจฉัยวาระคำสั่งศาลชะลอแก้ รธน. คนเดียวไม่ได้
วันที่ 11 มิถุนายน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา มีคำสั่งนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 15 สมัยสามัญนิติบัญญัติ เวลา 10.00 น. ณ ตึกรัฐสภา เพื่อรับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้พิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อจากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน
นอกจากนี้มีวาระการพิจารณาเรื่องด่วนซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง ประเทศตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ที่รัฐมนตรีเป็นผู้เสนอเข้าสู่การพิจารณา จำนวน 6 ฉบับ อาทิ กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองภายใต้คณะกรรมการที่ ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน และกรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองรายสาขา รวม 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน
โดยช่วงเริ่มต้นการประชุม นายสมศักดิ์ แถลงว่า จะไม่มีการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 และไม่มีการพิจารณา พ.ร.บ. ปรองดอง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน จะเป็นการพิจารณา พ.ร.บ.ฟอกเงินและพ.ร.บ.ก่อการร้าย เพื่อไม่ต้องขยายเวลาประชุมอีก เพราะครม. มีมติให้ปิดสมัยประชุมในวันที่ 19 มิถุนายน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นอภิปราย พร้อมแสดงความเห็นด้วยที่ประธานสภาฯ วินิจฉัยเช่นนั้นและเสนอให้มีการปิดอภิปราย ซึ่งเป็นการสร้างบรรยากาศปรองดองอย่างแท้จริง และสมาชิกรัฐสภาพร้อมเดินหน้ามาตรา 190 ต่อไป
ส่วนนายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.เพื่อไทย เห็นว่า เรื่องคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ยังค้างอยู่ในขณะนี้ จะให้ประธานจะตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ควรให้ สมาชิกรัฐสภาแสดงความเห็นด้วย จุดที่ค้างคือ มีความเห็นอย่างไรกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคำสั่งหรือคำขอ
ชวนกรีดให้เคารพอำนาจ-บทบาทของแต่ละฝ่าย
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนรู้สึกกังวลที่สมาชิกแสดงความเห็นขัดต่อตุลาการอย่างชัดเจน ทั้งนี้เห็นว่า ทางตุลาการที่เป็นสถาบันวินิจฉัยกฎหมาย จะถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารได้อย่างชัดเจน เพราะสภาฯ และฝ่ายบริหารแยกอำนาจจากกันไม่ได้ชัดเจน ยกเว้นในส่วนของวุฒิสภาที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง
"ประเด็นที่ผมเห็นว่า เราไม่ควรขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ หากเรายอมรับว่า อำนาจตุลาการ คือผู้วินิจฉัยกฎหมาย แม้ว่าไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่ควรยอมรับบทบาทของศาล เหมือนกรณีพระราชกำหนด 4 ฉบับ แต่เมื่อตุลาการมีความเห็นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ผมก็เคารพว่าตุลาการมีอำนาจวินิจฉัย เช่นเดียวกับเรื่องนี้" นายชวน กล่าว และว่า เราต้องเคารพอำนาจซึ่งกันและกัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะผิดหรือถูก เป็นเรื่องในอนาคต และหากผิด ตุลาการต้องรับผิดชอบ เพราะอำนาจแต่ละฝ่ายมีการกำหนดบทบาทไว้ชัดเจนแล้ว พร้อมถามว่า การที่สภาฯ ฟังหรือปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติตามที่ตุลาการมีความเห็นมา เสียเกียรติหรือเสียศักดิ์ศรีหรือไม่
ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า หากเราไม่ทำหน้าที่ในบทบาท และไม่เคารพดุลยพินิจของฝ่ายอื่นก็ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เรา แบ่งอำนาจกัน ฉะนั้น วันนี้วิธีที่ดีที่สุด คือเคารพอำนาจซึ่งกันและกัน ถ้าอำนาจนั้นไม่ผิดกฎหมาย
ต่อจากนั้นประธานสภาฯ ขอหารือสมาชิก เพื่อขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในญัตติเรื่องอื่นที่เสนอโดยอาศัย มาตรา 136 (5) และ มาตรา 127 วรรค4 ว่าจะอนุญาตให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญชะลอการลง มติร่างแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 มีผลผูกพันรัฐสภาหรือไม่
โดยนายอภิสิทธิ์ ลุกขึ้นอภิปราย ระบุว่า ญัตติที่เสนอมา เพื่อวินิจฉัยตีความว่า คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายตุลาการ ผูกพันรัฐสภาหรือไม่ ไม่อยู่ในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและหากมีการพิจารณาเรื่องนี้ ถือว่า เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 และหากมีการพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมสภานิติบัญญัติก็เป็นการฝ่าฝืน มาตรา 127 อีกชั้นหนึ่ง ฝ่ายค้านจึงไม่สามารถร่วมลงมติได้ และ ส.ส. ปชป.ได้วอล์คเอาท์ออกจากห้องประชุมไป
ในที่สุด เวลาประมาณ 13.54 น.ประธานสภาฯ ขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภา อนุญาติให้นำญัตติอื่นมาพิจารณาในสมัยการประชุมนี้หรือไม่ โดยเมื่อตรวจสอบองค์ประชุมมี 644 เสียง ดังนั้น เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 323 เสียง ปรากฎว่า เมื่อลงมติ มีเสียงเห็นด้วย 318 เสียง ไม่ถึงกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม ไม่เห็นด้วย 2 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 3 ทำให้ญัตติดังกล่าวจึงเป็นอันตกไป
จากนั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้เข้าสู่วาระพิจารณากรอบเจรจาระหว่างประเทศ 6 กรอบ ต่อ
