ศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งอัยการสูงสุดฟ้อง “พ.ต.ท.ทักษิณ” ทุจริตปล่อยกู้ ธ.กรุงไทย 25 ก.ค.
อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง "พ.ต.ท.ทักษิณ" กับพวกรวม 27 ราย ทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยหลายพันล้านบาท หลังพิจารณาสำนวนนานกว่า 4 ปี ด้านศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่ง 25 ก.ค.นี้
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง วันนี้ (13 มิ.ย.) นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด มอบหมายให้พนักงานอัยการนำสำนวนพยานหลักฐานจากการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ชี้มูลความผิดการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 150 แฟ้ม 17 ลัง ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502
ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อม.3/2555 และนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่ ในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00 น.
ด้านนายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ในการยื่นฟ้องคดีนี้เป็นไปตามความเห็นที่มติร่วมกันของคณะทำงานร่วมอัยการและ ป.ป.ช. ซึ่งเห็นว่าพฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวกรวม 27 คน เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยไม่มีการยื่นฟ้องบุคคลในครอบครัวชินวัตร และนายพานทองแท้ บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนี้ นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา จะเรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด เพื่อลงมติเลือกผู้พิพากษา จำนวน 9 คน ในศาลฎีกาเป็นองค์คณะรับผิดชอบคดีนี้
สำหรับพฤติการณ์คดีนี้มีการเริ่มตั้งสำนวนตั้งแต่ คตส. และเมื่อ คตส.หมดวาระก็ได้โอนเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาต่อ และได้ส่งสำนวนให้อัยการ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 ซึ่งคดีนี้ตามสำนวนได้มีการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวก ร่วมกันกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อจำนวนมาก โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของรัฐ โดยข้อเท็จจริงพบว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารฯ เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้
จากนั้นมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีเงื่อนไขระบุว่า บมจ.กฤษดามหานคร ไม่สามารถขอสินเชื่อได้อีก เนื่องจากมียอดขาดทุนสะสมสูง คือ มียอดสะสมสูงมาก แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1.การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500 ล้านบาท 2.การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท) และ 3.การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก
ส่วนบุคคลที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาตามสำนวนที่ปรากฏในชั้นไต่สวน คตส.มี 3 กลุ่ม คือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถูกกล่าวหา, กลุ่มผู้ปล่อยกู้ คือ คณะกรรมการ (บอร์ด) ธนาคารกรุงไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารฯ และบริษัทเอกชนผู้ขอกู้ 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด, บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด และบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบุคคลที่ได้รับประโยชน์จากบริษัทเอกชนดังกล่าว.
