อำนาจอธิปไตยเหนืออู่ตะเภาของไทยแลกเปลี่ยนมิได้ (1)

เมื่อวันที่ 1-3 มิถุนายน 2555 นี้ มีข่าวแพร่สะพัดในสื่อต่างๆ ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเจรจาขายอธิปไตยของชาติ โดยยกสนามบินอู่ตะเภาไปให้สหรัฐฯ ใช้ โดยมีนัยว่าแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับสหรัฐฯ ในการออกวีซ่าให้ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศ งานนี้มีทักษิณเป็นสื่อให้ผู้นำไทยและสหรัฐฯ ได้พบปะเจรจากัน (ทักษิณ ยังเข้าสหรัฐฯ ไม่ได้ เพราะมีคนช่วยกันล็อบบี้ทำเนียบขาวสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าทักษิณเป็นนักโทษหนีคุก และเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาหลายคดี)
ผู้นำทหารไทยและสหรัฐฯ ได้พบกันที่สิงคโปร์ในโอกาสการประชุม Asia Security Summit หรือ IISS Shangri-la Dialogue” (1-3 มิถุนายน) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยและสหรัฐฯ นำคณะนายทหารเข้าร่วมประชุมด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พลเอกมาร์ติน อี เดมซีย์(Martin E. Dempsey) ประธานคณะเสนาธิการทหารผสมสหรัฐฯ ได้เข้าพบปะเจรจากับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์และผู้นำทหารไทยที่กรุงเทพฯ พวกเขาได้เจรจากันเรื่องอะไรยังคงเป็นเรื่องลับ แต่ข่าวที่ปิดไม่มิดผ่านมาทาง พล อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ สหรัฐฯ ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก “ไม่เกี่ยวกับการทหาร” และ “ไม่เกี่ยวกับพันตำรวจโททักษิณไปสหรัฐฯ”
ผู้เขียนเชื่อว่าสหรัฐฯ ขอใช้อู่ตะเภาเพื่อการทหารเป็นหลัก ตามแผนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วง 10 ปีข้างหน้า เพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีน ส่วนที่ว่าต้องการใช้เป็นศูนย์ศึกษาภูมิอากาศหรือเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัตินั้นเป็นข้ออ้างหรือใช้เป็นฉากบังหน้ามากกว่า ด้วยเหตุผลและหลักฐานที่จะกล่าวต่อไป ณ ที่นี้
1. สหรัฐฯ ริอ่านทำอะไร? เพื่อใคร?
สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดี (พฤศจิกายน 2555) เป็นกลเม็ดในการหาเสียงของนักการเมือง ประธานาธิบดีที่อยู่ในอำนาจ ต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่าสหรัฐฯ ยังยิ่งใหญ่ในโลกนี้ โอบามาต้องการเป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี
ในโอกาสการประชุมว่าด้วยความมั่นคงของเอเชียที่สิงคโปร์ตามที่กล่าวแล้ว นายลีออน แพเนตตา (Leon Panetta) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เผยแพร่นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งมีสาระสำคัญคือ สหรัฐฯ มีความสนใจและความสามารถในการใช้ทรัพยากรเพื่อรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และต่อต้านประเทศที่กล้าท้าทายสหรัฐฯ ถึงปี ค.ศ. 2020 กองทัพเรือสหรัฐฯ ที่มีอยู่ จะย้ายมาประจำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 60%สหรัฐฯ จะช่วยปกป้องผลประโยชน์ของมิตรประเทศ และฟื้นฟูมิตรภาพกับเพื่อนเก่า (ซึ่งเหินห่างไปเพราะทุ่มเททำสงครามในตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน
เพื่อการนี้ แพเนตตาได้เผยแผนปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรม คือ ยักย้ายที่ตั้งกองกำลังทหารใหม่ให้เหมาะสม (repositioning) และจัดสมดุลอำนาจในภูมิภาคเสียใหม่ (rebalancing) เพราะสหรัฐฯกังวลว่าตนเองเสียดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ให้แก่จีนมากเกินไป
งานนี้ได้เดินหน้าแล้วในด้านการทูต หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่สิงคโปร์ แพเนตตาและคณะได้เดินทางต่อไปยังเวียดนามและอินเดีย เพื่อหยั่งเสียง หาเสียง และแสวงหาความร่วมมือ
สำหรับประเทศไทย นอกจากคณะผู้แทนไทยและสหรัฐฯ ได้มีโอกาสเจรจากันแล้วที่สิงคโปร์ แพเนตตาได้ส่งพลเอกมาร์ตินเดมซีย์ มาพบนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และผู้นำทหารไทย เพื่อเจรจาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาอีก นอกจากนั้น พลเอก Dempseyยังได้ให้สัมภาษณ์แก่คุณสุทธิชัย หยุ่น แห่งบริษัท Nation Group ด้วย (5 มิถุนายน) ในการตอบคำถามของคุณสุทธิชัย ที่ว่าสหรัฐฯ จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อการทหารด้วยหรือไม่ Dempseyตอบว่า “ไม่ ยังก่อน เราอาจไปถึงอันนั้นได้” (ดูใน The Nation, June 9, 2012, 10A) อย่างไรก็ตาม Dempsey ได้ให้สัมภาษณ์เป็นนัยว่า “ศูนย์อู่ตะเภานี้ ในบางโอกาสอาจถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับเรือรบสับเปลี่ยนกันมาจากสิงคโปร์” (สิงคโปร์ไม่มีดินแดนให้สหรัฐฯ ใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร แต่ได้ตกลงให้เรือรบสหรัฐฯ แวะจอดทำงานหรือพักงานหรือจับจ่ายได้)
การเพิ่มกำลังทหารของสหรัฐฯ ในเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อ balance อำนาจของจีน หรือ contain จีนใช่หรือไม่นั้น ถ้าคนที่เป็นมิตรกับจีนไปถามผู้นำหรือนักการทูตสหรัฐฯ ก็จะได้รับคำตอบว่า “ไม่ใช่” หรือเลี่ยงตอบอย่างคลุมเครือ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามการเมืองระหว่างประเทศแล้ว จะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ ต้องการสกัดกั้นอิทธิพลของจีนเป็นสำคัญ โดยเหตุผลโดยย่อดังนี้
(1) สหรัฐฯ เกรงอิทธิพลของจีน เพราะจีนโตเร็วทุกด้าน คราวนี้กลัวจีนไม่ใช่กลัวคอมมิวนิสต์ แต่เป็นจีนทุนนิยม IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะมี GDP โตล้ำหน้าสหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2559
(2) สหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกมานาน ต้องการรักษาฐานะอภิมหาอำนาจโลกต่อไปในยุโรป มี NATO สามารถต้านรัสเซียไว้ได้ ในตะวันออกกลางซึ่งเป็นอู่น้ำมัน สหรัฐฯ มีอิสราเอลเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและห้าวหาญ แม้สหรัฐฯ จะบอบช้ำจากสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน แต่นโยบายทำให้แตกแยกแล้วปกครอง (divide and rule) ในนามของการส่งเสริมประชาธิปไตยให้งอกงาม (Arab Spring) ก็ประสบผลสำเร็จอย่างดี พวกเขาฆ่าฟันกันเองจนหมดฤทธิ์ที่จะกล้าท้าทายอิสราเอลและสหรัฐฯ ไปอีกนานผลข้างเคียงที่ชาวโลกและคนไทยได้รับคือน้ำมันราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
(3) ในเอเชียตะวันออก สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้มีกำลังแข็งแกร่งพอที่จะสกัดกั้นได้ทั้งจีนและรัสเซีย โดยมีฐานทัพสหรัฐฯ ประจำอยู่
(4) ถ้าประเทศใดอาจหาญพอที่จะท้าทายสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ-ออสเตรเลียก็ได้ตกลงกันให้ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ สับเปลี่ยนกันไปประจำในตอนเหนือของออสเตรเลียได้จำนวน 2,500 คน (ข้อตกลงสหรัฐฯ-ออสเตรเลีย 17 พฤศจิกายน 2554)
(5) ความตึงเครียดอันเกิดจากความขัดแย้งกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในเกาะ-น่านน้ำในทะเลจีนใต้ระหว่างจีนกับ 4 ประเทศ สมาชิกอาเซียนเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ กลับมามีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีก ฐานทัพสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์และไทย (พันธมิตรเก่า) สมัยสงครามต้านคอมมิวนิสต์นั้นได้ถูกประชาชนเจ้าของประเทศเดินขบวนขับไล่จนต้องถอนออกไป ตอนนี้สหรัฐฯ เห็นช่องทางที่จะกลับคืนมาได้อีก
(6) สำหรับสนามบินอู่ตะเภานั้น สหรัฐฯ เคยใช้ปฏิบัติการทางทหารนานนับสิบปี รู้ว่าใช้ได้ดีทั้งเป็นฐานทัพเรือและฐานทัพอากาศ บัดนี้สหรัฐฯ คงต้องการกลับคืนมาใช้เพื่อการทหารเป็นหลัก โดยปรับปรุงซ่อมแซม-ขยายให้เป็นศูนย์ปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้เป็นฐานปฏิบัติการสอดแนมสืบความลับประเทศที่ไม่เป็นมิตรในภูมิภาคในยามปรกติ และปฏิบัติการรบในยามสงคราม แต่เมื่อภาวะสงครามปัจจุบันยังไม่ปรากฏ จึงต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการใช้เสียก่อน ข้ออ้างที่ใช้เจรจากับผู้นำไทยก็คือ ขอใช้เพื่องานด้านมนุษยธรรมบรรเทาภัยพิบัติ และศูนย์ศึกษา-วิจัย-สำรวจสภาพภูมิอากาศในเชิงอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นงานส่วนหนึ่งของเครือข่าย NASA ข้อสรุปนี้คงไม่ผิด เพราะตัวการที่มาเจรจากับผู้นำไทยเป็นประธานคณะเสนาธิการทหารผสม ซึ่งอยู่ในคณะผู้นำทหารที่ไปร่วมประชุมสุดยอดว่าด้วยความมั่นคงเอเชียที่สิงคโปร์ พวกนี้มิได้รับผิดชอบงานบรรเทาภัยพิบัติ หรืองานสำรวจสภาพภูมิอากาศหรืออวกาศแต่ประการใด
หมายเหตุ : ฉบับสมบูรณ์มีแหล่งอ้างอิงดูได้ที่ www.thaiworld.org
