จีนคิดอย่างไร? ต้องการอะไร? และทำอะไร? (2)...กรณีอู่ตะเภา
ถ้าอู่ตะเภาหรือแผ่นดินไทยจะไม่ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายปฏิบัติการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจีน เราก็ไม่ควรเอาเรื่องปัจจัยจีนมากล่าวในที่นี้ แต่กรณีนี้เชื่อว่าชาวจีนและผู้นำจีนที่รู้เรื่องนี้จะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สหรัฐฯ มีเจตนาจะใช้อู่ตะเภาทำกิจกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจีน รัฐบาลไทยที่ยอมให้สหรัฐฯ ใช้แผ่นดินของตัวก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องวิเคราะห์ว่า ทำไมทัศนะของจีนจึงเป็นเช่นนี้
(1) จีนตกเป็นเป้าของการโจมตีโดยสหรัฐฯ และพรรคพวกว่าได้เพิ่มงบประมาณทางทหารอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวโลกมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามสันติภาพของภูมิภาคและของโลก
จีนมองว่าสหรัฐฯ และพรรคพวกพยายามทำลายความน่าเชื่อถือและนโยบายใฝ่สันติภาพของจีน สร้างภาพลบให้คนมองจีนในแง่ร้าย จีนพยายามสร้างภาพการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนที่ต้องอาศัยภาวะแวดล้อมทางสันติ โดยอธิบายว่า จีนมีพื้นที่ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ และมีพันธะที่จะต้องปกป้องเขตอำนาจอธิปไตยไม่ยิ่งหย่อนกว่า จีนมีพลเมืองมากกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า (ปี 2554 จีนมีพลเมือง 1,347 ล้านคน หรือ 19.2% ของประชากรโลก ในขณะที่สหรัฐฯ มี 313 ล้านคน หรือ 4.47% ของประชากรโลก) แต่มีรายจ่ายด้านการทหารน้อยกว่ามหาอำนาจอื่นทั้งหมด ถ้าคิดจากจำนวนประชากรและพื้นที่ ปี 2555 จีนมีงบประมาณด้านการทหาร 106,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มจากปีก่อน 11.2% (หรือ 1.28% ของ GDP) ในขณะที่ของสหรัฐฯ เท่ากับ 925,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดจากปีก่อน 5% (หรือ 4.8% ของ GDP)
(2) ในด้านการเมือง เรื่องร้อนประจำปีที่จีนตกเป็นเป้าของการโจมตีโดยสหรัฐฯ และพรรคพวกคือเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน นักการเมืองสหรัฐฯ และสื่อมวลชนตะวันตกและเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน ใช้ข้อมูลเรื่องรายงานสิทธิมนุษยชนในจีนของสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือโจมตีจีนตลอดมา สหรัฐฯ มี Radio Free Asia, Radio Free Tibet แพร่ข่าวเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีนมานานนับสิบปีแล้ว
จีนมองว่าสหรัฐฯ และพรรคพวกมีเจตนาทำลายชื่อเสียงของจีน และพยายามตอบโต้ออกมาเป็นระยะๆ แม้จะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสื่อตะวันตก แต่คำตอบโต้ของจีนก็มีเหตุผลดีไม่ยิ่งหย่อนกว่าเรื่องงบประมาณรายจ่ายด้านการทหาร ที่สำคัญคือจีนมีมุมมองเรื่องสิทธิมนุษยชนแตกต่างจากสหรัฐฯ จีนยังเน้นเรื่องปากท้องซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการยังชีพเป็นสำคัญ และจีนเน้นความสงบเรียบร้อยของส่วนรวมมากกว่าสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นต้น
(3) ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จีนยึดหลักเคารพภูมิปัญญาของประชาชนในแต่ละประเทศ ที่มีความรู้ดีกว่าคนต่างชาติในการแก้ไขปัญหาของตนเอง นั่นคือยึดหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น จีนมองว่าสหรัฐฯ ชอบเอามาตรฐานของตนไปตัดสินชะตากรรมของคนในชาติอื่น ฉะนั้นทุกครั้งที่เกิดปัญหาความขัดแย้งกันในประเทศต่างๆ จีน (บางครั้งมีรัสเซียร่วมด้วย) มักจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสหรัฐฯและพรรคพวก สหรัฐฯ (อภิมหาอำนาจพูดเสียงดัง) จะเป็นผู้นำในการทำลายภาพลักษณ์ของจีน โดยสื่อมวลชนสหรัฐฯ และตะวันตกจะประโคมข่าวว่าจีนไม่ส่งเสริมฝ่ายประชาธิปไตยที่ชาติตะวันตกสนับสนุน
(4) เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้ นางคลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวในโอกาสต่างๆ หลายครั้ง กล่าวโทษจีนว่าเป็นชาติขยายดินแดน (เพิ่งจะหยุดพูดในทำนองนั้นเมื่อไม่นานมานี้) เรื่องนี้จีนถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจีนถือว่าปัญหาพิพาทกันเรื่องพรมแดนนั้น เป็นปัญหาติดมากับประวัติศาสตร์ จีนมีข้ออ้างที่อิงกฎหมายระหว่างประเทศได้ดีไม่ด้อยกว่าประเทศอื่นที่อ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อน (เรื่องพิพาทกับญี่ปุ่นเหนือเกาะเตี้ยวอี๋ว์หรือเซนกากุก็เช่นเดียวกัน)
(5) ชาวจีนส่วนมากเชื่อว่าสหรัฐฯ คุกคามความมั่นคงของจีน แม้สงครามเย็นจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สหรัฐฯ ยังมีอาการโรคสงครามเย็นขึ้นสมอง คุกคามความมั่นคงของจีนโดยสนับสนุนไต้หวัน แม้จะยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ยังขายเครื่องบินรบและอาวุธสงครามล้ำยุคให้ไต้หวันเป็นระยะๆ ส่งเสริมชาวทิเบตให้ต่อต้านจีน มีฐานทัพล้อมรอบจีน ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ถ้าไทยให้สหรัฐฯ ใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐฯ ไทยก็จะถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์กับจีนเหมือนสหรัฐฯ ด้วย
(6) การที่ไทยจะให้หรือไม่ให้สหรัฐฯ ใช้อู่ตะเภานั้น จะว่าไม่เกี่ยวกับจีนก็คงไม่ได้ ถ้าไทยให้ไปตามคำขอ ไม่ว่าจะขอใช้โดยเอาอะไรเป็นข้ออ้างก็ตาม ภาพที่ออกมาสู่สายตาจีน (และสายตาโลก) คงไม่มีใครเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับการทหารและความมั่นคงของสหรัฐฯ คงไม่มีใครเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของจีน แต่ถ้ารัฐบาลไทยปฏิเสธคำขอของสหรัฐฯ จีนคงจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจไทยมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
หมายเหตุ : ฉบับสมบูรณ์มีแหล่งอ้างอิงดูได้ที่ www.thaiworld.org