ผลประโยชน์ของไทย (3)...กรณีอู่ตะเภา

(1) ปัจจุบันความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะมีปัญหามากขึ้น โดยสหรัฐฯ เป็นฝ่ายรุก จีนเป็นฝ่ายตั้งรับ ถ้าฝ่ายรุกมีปัญหาทางเศรษฐกิจมากขึ้น ก็อาจจะแสดงความก้าวร้าวมากขึ้น ความขัดแย้งกันทางการเมือง-เศรษฐกิจ อาจจะขยายตัวไปสู่การประจันหน้ากันทางทหารได้ ดูเหมือนสหรัฐฯ จะเตรียมตัวไปสู่จุดนั้น และกำลังรุกหนักที่จะดึงประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาเป็นพรรคพวกให้มากขึ้น
(2) ไทยเป็นหมากตัวหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะใช้เสริมพลังอำนาจทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในการต่อต้านจีน ไทยจะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคงเป็นสำคัญ จะทำตัวเอนเอียงไปเข้าข้างฝ่ายใดจะต้องอิงความถูกต้องทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ที่จะนำไปสู่สันติภาพของโลกในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคมโลกด้วย
(3) ปัจจุบันไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับจีนและสหรัฐฯ เป็นผลประโยชน์ของไทยที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองประเทศไว้ต่อไป
(4) จีนเป็นมิตรที่ดีของไทย ตั้งแต่ไทย-จีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี 2518 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ไทย-จีนทุกด้าน (ความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ) ดีขึ้นตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะในด้านเศรษฐกิจ จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ปี 2554 มูลค่าการค้ารวม 57,983.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ไทยส่งออกไปจีน 27,402.40 ล้านเหรียญ, นำเข้า 30,581.15 ล้านเหรียญ) เพิ่มจากปีก่อน 26.85% การลงทุนจากจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2554 เพิ่ม 62% เป็น 970 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น) มีแนวโน้มว่า จีนจะกลายเป็นชาติที่มาลงทุนในไทยมากที่สุดในไม่กี่ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจากจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจำนวน 1,571,294 คน ในปี 2554 นับเป็นอันดับสองรองจากมาเลเซีย เพิ่มจากปีก่อน 57.56%เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ประมาณ 10% โดยเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่เปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 2521 เป็นต้นมา ใน 5 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจคงจะเติบโตได้อีกปีละประมาณ 6-9% ในขณะที่สหรัฐฯ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอย การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอย่างมีเสถียรภาพเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก
(5) สหรัฐฯ มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมานาน แต่นับจากนี้ฐานะทางเศรษฐกิจส่วนที่จะมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับไทยนั้น ก็มีแนวโน้มลดน้อยลง สหรัฐฯ มีโอกาสล้มละลายมากกว่าจีน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะ 15.77 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 102% ของ GDP (ของจีน 25.8%) อัตราการเพิ่มของหนี้สาธารณะมีมากกว่า 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี (วัดจากแนวโน้มตั้งแต่ปี 2546) จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ณ เดือนธันวาคม 2553 สหรัฐฯเป็นหนี้จีน 1.260 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
(6) สหรัฐฯ เป็นอภิมหาอำนาจของโลก มีสิทธิยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับจีน แต่สหรัฐฯ ห้าวหาญในการใช้อำนาจมากกว่าและบ่อยครั้งกว่า สหรัฐฯ เคยเป็นมิตรและพันธมิตรทางทหารของไทย (ในสงครามเกาหลีและสงครามอินโดจีน) แต่ตอนนี้เราไม่มีเหตุผลดีเท่าสมัยนั้นในการไปร่วมมือกับมิตรเก่าไปต่อต้านมิตรใหม่ของเรา แม้ถ้าสหรัฐฯชักชวนให้เราไปช่วย “ทำโทษ” เมียนมาร์ เกาหลีเหนือ อิหร่าน หรือประเทศอื่นที่มิใช่เป็นมิตรสนิทของเราเช่นจีน เราก็ไม่ควรร่วมมือด้วย
(7) ถ้าไทยยอมให้สหรัฐฯ ใช้แผ่นดินไทย ประกอบกิจกรรมที่เป็นปรปักษ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จะเป็นประเทศจีนหรือประเทศอื่นใดในภูมิภาคก็ตาม โอกาสที่คนไทยจะแตกแยกกันเองเสียก่อนนั้นมีมาก โอกาสที่จะเป็นฝ่ายสูญเสียหรือพ่ายแพ้ก็มีมาก
หมายเหตุ : ฉบับสมบูรณ์มีแหล่งอ้างอิงดูได้ที่ www.thaiworld.org
