บทเรียนของไทย : ยังจำได้ไหม? (4)...กรณีอู่ตะเภา

(1) ประเทศไทยในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ยินยอมให้สหรัฐฯ ใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อทำสงครามในอินโดจีน ข้อตกลงไทย-สหรัฐฯ (มีเพียงบันทึกรายงานการประชุมปี 2510 ไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการ) แม้จะบอกว่าสนามบินอู่ตะเภาเป็นของไทย ไทยมีอำนาจการบังคับบัญชาการบริหารงาน และมีอำนาจศาล ฯลฯ แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐฯ ย้ายฐานบินทิ้งระเบิด B52 จากเกาะกวมมาอยู่ที่อู่ตะเภา และใช้สนามบินอู่ตะเภาปฏิบัติการทิ้งระเบิด เวียดนาม ลาว กัมพูชา อย่างเป็นอิสระจากฝ่ายไทย เสมือนหนึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ
(2) ในการเจรจาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ปี 2510 นั้น ผู้แทนเจรจาของฝ่ายสหรัฐฯ ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีว่า คู่เจรจาฝ่ายไทยมีจุดอ่อนจุดเด่นอยู่ที่ไหน ระบบการเมืองของไทยมีช่องโหว่อะไรบ้าง แล้วเอาข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้างเกี่ยวกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์จากภายนอก (อ้างว่าได้มาจากดาวเทียมบ้างหน่วยสืบความลับที่ทันสมัยสุดยอดซึ่งฝ่ายไทยฟังไม่เข้าใจ) มาต้มตุ๋นคู่เจรจา ซึ่งฝ่ายไทยได้แต่งุนงงไม่รู้จะตอบโต้ซักถามอย่างไร ฝ่ายสหรัฐฯ มัดมือชก ถือว่าไม่ปฏิเสธก็คืออนุมัติ เมื่อไทยถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์ออกข่าวโจมตีจากฮานอยและปักกิ่ง ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ใช้หมัดเพชฌฆาตฟาดไทยซ้ำเติม บอกฝ่ายไทยว่าไทยไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ไหนๆ ศัตรูของเราก็ถือว่าเราเป็นศัตรูร่วมกันแล้ว ฯลฯ การเจรจาของคู่ภาคีที่มีฐานะไม่เท่าเทียมกัน จะมีข้อสรุปหรือไม่ก็ตาม สหรัฐฯ ก็หาช่องทางเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาโดยเครื่องบินทิ้งระเบิด B52 ไปถล่มทำลายประเทศเพื่อนบ้านของไทยเหลวแหลกอย่างไร้มนุษยธรรม
(3) คราวนี้ ถ้าผู้นำทหารหรือตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ มาเจรจาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาอีก กลเม็ดในการเจรจาของเขาก็คงจะเป็นรูปแบบเดิม คือใช้วิธีอ่อยเหยื่อต้มตุ๋นให้รัฐบาลไทยยอม เขาศึกษามาดีแล้ว (ได้ข้อมูลจากซี.ไอ.เอ.) เช่นข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของไทยในการจัดการภัยพิบัติที่ไทยเพิ่งได้รับจากสึนามิ และน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ฯลฯ พวกเขาทำการบ้านศึกษาหาช่องทางนำมาใช้ในการเจรจา ฝ่ายสหรัฐฯ อาจจะเสนอโครงการสวยหรูมาจูงใจฝ่ายไทย เช่นกิจกรรมด้านการศึกษาวิจัย สภาพภูมิอากาศและอวกาศ โดยองค์การการบินอวกาศสหรัฐฯ (NASA) สัญญาว่าจะใช้เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยมาตั้งอยู่ในแผ่นดินไทย จะเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ไทยเข้าร่วมงานหรือฝึกอบรม โดยมีผู้เชี่ยวชาญชั้นหัวกะทิจากสหรัฐฯ มาถ่ายทอดวิชาการให้ เป็นต้น จะสร้างศูนย์บรรเทาภัยพิบัติ โดยมีอุปกรณ์สื่อสารอย่างล้ำสมัย เพื่อบรรเทาทุกข์ให้ไทยและเพื่อนบ้านในภูมิภาคในยามมีภัยพิบัติ เป็นต้น พวกเขาจะไม่ลืมที่จะตอกย้ำว่า กิจกรรมต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อไทยอย่างไร ในการเจรจานั้น ฝ่ายทหารสหรัฐฯ อาจจะเอาผู้เชี่ยวชาญ NASA หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพยากรณ์ภัยธรรมชาติ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านบรรเทาภัยพิบัติมารวมอยู่ในคณะเจรจาด้วย หรือจะแยกกันมาก็ได้
ฝ่ายสหรัฐฯ อาจจะทำให้ฝ่ายไทยตายใจว่า งานความร่วมมือนี้จะดำเนินการอย่างเปิดเผยและโปร่งใส กิจกรรมต่างๆ จะให้คนไทยมีส่วนร่วม พวกเราผู้เป็นเจ้าของประเทศควรศึกษาประสบการณ์ที่รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรเจรจาทำข้อตกลงต่างๆ กับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ได้ไปซึ่งสิทธิหรืออำนาจในการใช้สนามบินอู่ตะเภา สนามบินทหารหลายแห่งในภาคอีสาน และเครือข่ายหน่วยสืบความลับทางทหาร ซึ่งมีอยู่มากมายในสมัยสงครามอินโดจีน ข้อสัญญาเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝ่ายไทยไม่มีใครรู้เรื่องที่สหรัฐฯ ต้องการไม่มีคน-ไม่มีเงินในการร่วมกันใช้ประโยชน์ ปล่อยให้เขาใช้ประโยชน์ไปอย่างอิสระแต่ฝ่ายเดียว
ในปัจจุบัน ไทยเราไม่มีศัตรูที่เป็นเป้าหมายร่วมกันกับสหรัฐฯ เขาอาจจะหากิจกรรมพลเรือนอย่างเรื่องภัยพิบัติมาบังหน้า แต่งานในเบื้องต้นคงจะใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการสืบความลับ ซึ่งอาจจะมีเครื่องบินสอดแนม (มีคนขับหรือไม่ก็ได้) โดยอ้างว่าปฏิบัติการตรวจสภาพอากาศตามข้อตกลง
(4) เครื่องบินยักษ์ B52 ของสหรัฐฯที่อู่ตะเภานั้น กว่าจะออกไปได้ก็ด้วยความสามัคคีของคนไทย โดยการนำของนิสิต-นักศึกษาเดินขบวนประท้วง บีบรัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช ให้บีบให้สหรัฐฯ ถอนออกไป (2518) เมื่อสหรัฐฯ แพ้สงครามอินโดจีนและกลับไปอยู่ในแผ่นดินของตน คนไทยถูกเพื่อนบ้านมองอย่างหวาดระแวงต้องปรับตัวอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอดสู โดยมีตราประทับรอยบาปทางใจให้แก่คนไทยที่รู้สึกผิดชอบชั่วดีทั่วหน้ากัน
(5) คราวนี้ ถ้าเราจะให้สหรัฐฯ กลับมาใช้สนามบินอู่ตะเภาอีก ประตูแรกที่รัฐบาลต้องผ่านคือพลังประชาชนที่จะออกมาประท้วง ถ้าผ่านประตูนี้ไปได้ และสหรัฐฯ ต้องถูกพลังสันติภาพของโลกตอบโต้จนต้องกลับไปเลียบาดแผลในแผ่นดินของตนอีก คนไทยก็จะมีบาดแผลรอยบาปประทับใจรอบสองเพิ่มขึ้นกว้างกว่าเดิม (สำหรับคนที่รอดตาย) แต่ถ้าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายชนะ คำถามที่มีต่อคนไทยก็คือ “ไทยต้องการอะไรจากเพื่อนบ้านหรือ?” และ “ประเทศไทยจะถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นหมากกระดานต่อไปของลัทธิจักรวรรดินิยมหรือไม่?”
หมายเหตุ : ฉบับสมบูรณ์มีแหล่งอ้างอิงดูได้ที่ www.thaiworld.org
