“กิตติศักดิ์ ปรกติ”มองเกมดิสเครดิตศาลรธน. “อย่าปฏิรูปด้วยความรู้สึก”

การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ สุดท้ายก็ต้องพักยกชั่วคราว เมื่อสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่ให้มีการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ... วาระ 3 อันเป็นท่าทีซึ่งสอดคล้องกับแกนนำรัฐบาลและแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เห็นควรรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ให้เสร็จสิ้นกระบวนความก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันใหม่หลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นเด่นชัดทางการเมืองก็คือ รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร –แกนนำพรรคเพื่อไทย-ส.ส.พรรคเพื่อไทย –ส.ส.เพื่อไทยสายนปช.คนเสื้อแดง ต่างพร้อมใจกันเรียงหน้าถล่ม”ศาลรัฐธรรมนูญ”ไม่มียั้ง ถึงขั้นมีการประกาศเชิญชวนให้คนเสื้อแดงโทรศัพท์ไปด่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่บ้านและให้ไปที่บ้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันด้วย
ขณะเดียวกันทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภา รวมถึงในห้องประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยและห้องประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 12 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา แกนนำรัฐบาลและส.ส.ฝ่ายเพื่อไทยก็รุมอัดศาลรัฐธรรมนูญอย่างร้อนแรงว่าใช้อำนาจเกินขอบเขต –ตีความรัฐธรรมนูญขยายขอบเขตอำนาจของตัวเองจนก้าวล่วงนิติบัญญัติ และมีธงมุ่งหวังจะวินิจฉัยเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยในอนาคต
สิ่งที่เกิดขึ้น ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งศึกษาเรื่อง”ศาลรัฐธรรมนูญ”ในหลายประเทศเช่น เยอรมัน-ฝรั่งเศล วิเคราะห์ความเป็นไปทางการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายการเมืองในซีกเพื่อไทยไว้ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องรับแรงกดดันอีกรอบหลังไต่สวนคดีสำคัญดังกล่าวเสร็จสิ้นลงในวันที่ 6 กรกฏาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวทั้งจากผู้ร้องและผู้ถูกร้อง
-ดูจากการอภิปรายของส.ส.เพื่อไทยหลายคนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งระดับรัฐมนตรีจนถึงแกนนำเสื้อแดง ที่อภิปรายในห้องประชุมรัฐสภารวมถึงการให้สัมภาษณ์ที่วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญแบบแรงๆ ดูแล้วฝ่ายการเมืองคิดใช้โอกาสนี้ที่มีแนวร่วมอยู่ด้วยกับฝ่ายตัวเองหลายกลุ่มมาดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?
...มันก็เป็นแนวโน้มใหญ่เพราะกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้หรือการทำงานขององค์กร สถาบันต่างๆ จะตั้งอยู่ได้ก็ต้องตั้งอยู่บนความเชื่อถือของประชาชน
ทุกวันนี้อย่างตำรวจจับคนร้ายได้ คนก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าคนร้ายผิดจริงหรือถูกจับยัดข้อหา ความเชื่อถือก็ถูกคลอนแคลน หรือนักการเมืองเองเวลาพูดอะไรความเชื่อถือของประชาชนก็มีน้อยเพราะประชาชนก็คิดว่าอาจมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังนักการเมือง
สถาบันที่ค่อนข้างมั่นคงในแง่ความเชื่อถือของประชาชนก็คือสถาบันศาล เมื่อสถาบันศาลมีความมั่นคงมากก็กลายเป็นภัยคุกคามสถาบันอื่นๆ ยิ่งหากสถาบันศาลเกิดติดตาม ลงโทษ หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นคุณ กับผู้เกี่ยวข้อง
เขาก็ต้องพยายามทำลายความเชื่อถือเราจะเห็นได้ว่านักการเมืองระยะหลังเวลาศาลตัดสินเข้าข้างตัวเองก็บอกยุติธรรม พอไม่เข้าข้างตัวเองหรือตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็บอกสองมาตรฐาน หรือถูกปล้น
ลักษณะแบบนี้มาตรฐานสากลยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ สื่อมวลชนก็ยอมไม่ได้ ปล่อยให้เป็นอย่างงี้ได้ยังไง บ้านเราก็มีการรายงานข่าวแต่การวิพากษ์วิจารณ์ยังน้อย เพราะสื่อมวลชนก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่ามันมีความเชื่อถือสาธารณะอยู่ที่ต้องรักษา โดยเฉพาะข้อโต้แย้งที่ว่าวันหนึ่งคุณได้ประโยชน์ก็อีกแบบหนึ่งแต่พอไม่ได้ประโยชน์ก็พูดอีกแง่หนึ่งตรงนี้ไม่ค่อยได้ปรากฏในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์
ตัวอย่างแบบนี้ทางมารยาททำไม่ได้ เช่นกรณีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง สมัยเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ตอนก่อนเข้าห้องฟังคำตัดสินตุลาการรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคไทยรักไทยบอกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยออกมาอย่างไรก็จะยอมรับ แต่พอวินิจฉัยที่ไม่เป็นคุณ เขาก็บอกว่าศาลเป็นสองมาตรฐาน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองพูด แล้วก็มาบิดเบือนคำตัดสิน…
-ก็คือคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญจำต้องเปิดพื้นที่หรือเปิดใจกว้างยอมรับคำวิจารณ์ ?
...คุณวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งได้ แต่ต้องทำด้วยความเคารพและเหตุผลไม่ใช่อาศัยแต่เฉพาะการตำหนิโดยไม่มีข้อมูลประกอบหรือเหตุผลหักล้างที่ชัดเจน ทุกวันนี้เต็มไปด้วยข้อความแบบนี้
เช่นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วบอกว่าศาลก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติ
ถ้าบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญก้าวก่าย ก็ต้องบอกว่าก้าวก่ายอย่างไร ได้ไม่ได้เพราะเหตุใด ไม่ใช่จะมาบอกว่าผิดหมดแต่ไม่มีเหตุผลมาแย้ง
เช่นจะบอกว่าศาลตัดสินในเรื่องที่เป็นกฎหมายได้แต่ในเรื่องที่ยังไม่เป็นกฎหมายยังไม่เห็นชัดเจนศาลจะมาสรุปเอาดื้อๆว่า เป็นภัยต่อระบอบการปกครองแล้วแบบนี้ก็ไม่ใช่
เพราะศาลยังไม่ได้สรุปอะไร ศาลรัฐธรรมนูญแค่บอกว่า สงสัยว่าจึงขอฟังความก่อน กรณีนี้ การที่ศาลเขาแจ้งไปว่าให้ยับยั้ง ให้แจ้งไปยังเลขาธิการสภาฯผมก็เห็นด้วยว่าเป็นการแจ้งแต่ไม่ใช่การสั่งสภาฯ ถ้าสภาฯจะประชุมเพื่อเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติที่เป็นรากฐานของระบอบการปกครอง หรือว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐอันนี้ศาลสั่งห้ามได้ ศาลไม่ได้ห้ามสภาฯแต่เขาแจ้งไปยังเลขาธิการสภาฯเพื่อให้แจ้งไปยังประธานรัฐสภาว่า ให้ยับยั้งไว้ก่อน ในกรณีนี้ถ้าศาลใช้วิธีดำเนินการไปโดยให้แจ้งให้ทราบว่าศาลรับไว้พิจารณาแล้วจึงแจ้งให้สภาฯทราบก็ทำได้
และอีกเรื่องหนึ่งที่มีการพูดกันไปผิดมากเลยคือไปบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาพิจารณาประกอบการออกคำสั่งการรับคำร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันนี้ไม่ถูก
เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นไปตามมาตรา 300 ของรัฐธรรมนูญ ศาลใช้อำนาจรัฐธรรมนูญเพราะมาตรา 300 ของรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ว่าให้ศาลต้องออกพรบ.ประกบอรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความในศาลรัฐธรรมนูญ ให้เสร็จภายในหนึ่งปี ระหว่างที่ยังไม่มีพรบ.นี้ ก็ให้ใช้ข้อบังคับของศาลไปพลางก่อน แล้วข้อบังคับศาลก็บอกว่าการดำเนินการไปตามกระบวนการต่างๆ ถ้าไม่มีบัญญัติไว้ให้ใช้วิธีพิจารณาความแพ่ง
การบัญญัติอย่างนี้ไม่ได้หมายถึงให้ใช้วิธีพิจารณาความในฐานะวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ให้ใช้ในฐานะกระบวนวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอันนี้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็มี ที่บอกว่าเรื่องที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม เหมือนกันกับที่วิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ หรือข้อบังคับในการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่บอกว่าให้ใช้วิ.แพ่ง ตอนนั้นเขาใช้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญให้เอาบทบัญญัติของวิแพ่งมาใช้ ทันทีซึ่งเอามาใช้จึงเป็นหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญไม่ใช่หลักเกณฑ์ของวิ.แพ่งอีกต่อไป
เหมือนกับการปฏิบัติหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีซึ่งปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในขณะที่เขาลงชื่อนั่นคือนายกรัฐมนตรี เพียงแต่เป็นรองนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่นายกฯแทน แต่ค่าบังคับของลายเซ็นนั้นคือนายกรัฐมนตรี อำนาจที่เขาใช้คืออำนาจนายกรัฐมนตรี ผมว่าคนที่เขาพูดประเด็นนี้เขารู้ตรงนี้แต่เขาไม่ยอมพูดแบบนี้ เป็นการพูดที่ไม่ตรงกับความรู้ของตัวเอง...
-ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญก็รับคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสว.สรรหา ที่ยื่นเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยยื่นตรงกับศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา68 หลังศาลเปิดช่องไว้ แล้วแบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่ เพราะต่อไปใครๆ ก็อาจไปยื่นตรงกับศาลทั้งหมดโดยอ้างมาตรา 68 ?
...เรื่องแบบนี้ที่เยอรมันก็มีปัญหานี้ คือเมื่อเปิดช่องให้ประชาชนยื่นตรงได้กับศาลรัฐธรรมนูญ ศาลก็ต้องสร้างกลไกขึ้นมากลั่นกรองอีกทีหนึ่ง ซึ่งหากศาลหรือเจ้าหน้าที่ของศาลเห็นว่าไม่มีมูล ก็ย่อมปฏิเสธและบอกให้ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดก่อนได้
ผมขอกลับมาที่เรื่องการรับคำร้องศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง อยากยกตัวอย่างให้ดูบางกรณี หากจำกันได้ในช่วงก่อน 19 กันยายน 2549 หลังมีการขายหุ้นชินคอร์ปฯ มีสมาชิกวุฒิสภาตอนนั้น 28 คนเข้าชื่อกันส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขายหุ้นดังกล่าว เพื่อตรวจสอบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอาจจะซุกหุ้นภาคสอง นำโดยอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ แต่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนนูญมีคำวินิจฉัยเสียงข้างมากไม่รับคำร้องดังกล่าว ด้วยเหตุว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
ต่อมา ก็มีคณาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ออกมาแย้งว่าศาลต้องรับสิเพราะว่าศาลจะได้เอาไปตรวจสอบต่อไปพิจารณาต่อ เพราะหลักฐานพอไม่พอไม่รู้แต่มันน่าสงสัยคนที่เรียกร้องแบบนั้นก็ไม่ได้บอกว่าศาลมีอำนาจไม่ต้องรับแต่บอกว่าต้องรับ และเวลาต่อมา เมื่อเกิดรัฐประหาร ปี 49 คนก็บอกว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องตอนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้การเมืองตอนนั้นแก้วิกฤตไม่ได้ จนกระทั่งวิกฤตมันลุกลาม มีการประท้วงใหญ่ของประชาชนและทำให้เราต้องสูญเสียมากมายเพราะการทำรัฐประหาร
ถ้าตอนนั้นศาลรับเสียแล้วตรวจสอบก็อาจไม่เกิดรัฐประหารก็ได้ มันก็คือเหตุการณ์เดียวกัน คือเมื่อเกิดเหตุขัดแย้งรุนแรง แล้วมีองค์กรใดองค์กรหนึ่งเขาออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบแล้วก็ทำหน้าที่อยู่ในกรอบ แล้วมันไปได้...
-คืออาจารย์เห็นว่าศาลรับคำร้องได้ ตามมาตรา 68 ?
...ผมเห็นว่าศาลทำได้ ไม่ได้ตีความใช้อำนาจเกินขอบเขตเพราะมาตรา 68 มันยก มาจากมาตรา 63ของรัฐธรรมนูญปี 40และในรัฐธรรมนูญปี 40 ก็มีการอภิปรายกันในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อ 12 มิถุนายน 2555 ซึ่งนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สว.สรรหาและอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้อภิปรายว่าในรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 63 มีการขอแปรญัตติ ฝ่ายหนึ่งบอกว่าให้ยื่นอัยการแล้วให้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ อีกฝ่ายหนึ่งก็เสนอว่าไม่เอา เสนอว่าให้เติมวรรคสองไปว่าให้ประชาชนยื่นได้โดยตรง ในที่ประชุมที่ประชุมตอนยกร่างรัฐธรรมนูญจึงให้คงคำว่า”และ”เอาไว้ คือการให้ประชาชนยื่นได้โดยตรง ขึ้นอยู่กับการตีความ
ผมดูเจตนารมณ์การตีความของรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ซึ่งคือมาตรา 68 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผมก็ขำ ในกฎหมายบอกว่าวัตถุประสงค์การมีศาลรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ถ้ามีข้อพิพาทขึ้นแล้วศาลไม่รับก็มีปัญหา ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าศาลมีอำนาจพิจารณาข้อพิพาททั้งปวงเว้นแต่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าไม่รับ ผลก็คือจะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลยุติธรรม มันไม่ยิ่งไปใหญ่หรือ เพราะศาลยุติธรรมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนแบบนี้แล้วบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้อง แล้วจะให้เรื่องทั้งหมดไปตกที่ศาลยุติธรรมหรือ ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ถ้าไปดูคำอภิปรายของคุณสุรชัยเมื่อ 12 มิถุนายน 2555 ที่อ้างการประชุมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 63 ก็จะเห็นชัดว่าเขาไม่ได้ตีความผิด ดังนั้นนักวิชาการที่บอกว่าศาลขยายอำนาจ ตีความเกินขอบเขตอำนาจก็ต้องไปดูรายงานการประชุมเสียก่อนว่าจริงไหม ในความเห็นของผม เจตนารมณ์คือถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน จำเป็นเร่งด่วน ซึ่งองค์กรของรัฐไม่ทำงานแล้ว และจะเป็นการกระทำซึ่งจะเป็นอันตรายต่อรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเขาก็ต้องมีอำนาจแต่เมื่อมีอำนาจแล้วจะบังคับได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง…
-ก่อนหน้านี้ นักการเมืองก็จ้องอยากผ่ารื้อโครงสร้างอำนาจ ของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอกรณีนี้ยิ่งทำให้มีแนวโน้มว่านักการเมืองคงคิดอะไรไว้แน่ ข้อเสนอให้มีการตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญได้เช่นให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะ หรือการลดเวลาการดำรงตำแหน่งจาก9 ปีเหลือสัก 6 ปี ดูแล้วเป็นอย่างไร?
...สังคมต้องตรวจสอบการทำหน้าที่ของทุกองค์กรได้แม้แต่กับศาลไม่ว่าจะศาลไหน อย่างเช่นการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อสาธารณะ มันก็เป็นเรื่องเหมาะสมเพื่อให้มีระบบตรวจสอบ เพียงแต่ว่าเมื่อเปิดเผยแล้วก็ไม่ใช่มีคนเอาไปพูดบนเวทีแล้วก็บอกเบอร์โทรศัพท์ของญาติพี่น้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแบบนั้นมันก็มากไป ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องให้ถูกตรวจสอบ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกตรวจสอบจากศาลยุติธรรม เพราะหากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินหน้าที่ ก็อาจถูกฟ้องดำเนินคดีในศาลยุติธรรมได้…
-แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้ประชาชนเข้าชื่อกันสองหมื่นชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งรวมถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ก็ต้องใช้เสียงสว.ถึง 3 ใน 5 อีกทั้งสว.สรรหา 74 คน ก็มาจากกรรมการสรรหาที่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 113 แล้วแบบนี้แม้รัฐธรรมนูญจะมีบทบัญญัติเนรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองแต่จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ?
...ตามหลักการ สว.ก็ต้องมีอิสระในการตัดสิน เป็นเรื่องความรับผิดชอบของเขา แม้สว.บางส่วนคือสว.สรรหาจะมาจากการคัดเลือกของกรรมการสรรหาที่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วยก็ตาม
อย่างผมแม้จะได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่โดยอธิการบดี แต่ผมก็กล้าวิจารณ์อธิการบดี ทำไมจะไม่กล้า มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน...
-แล้วเรื่องอำนาจหรือโครงสร้างศาลรัฐธรรมนูญมีอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ อย่างจากเดิมมีตุลาการ 15 คนตอนนี้เหลือ 9 คนดีขึ้นไหม?
...ที่เปลี่ยนมาเป็น 9 คน ตรงนี้เป็นก็เป็นข้อเสนอที่อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์เคยเสนอไว้แต่เขาก็บอกว่าให้เอาผู้ทรงคุณวุฒิในทางนิติศาสตร์ การปรับปรุงที่มา ของตุลาการศาล จะให้มาอย่างไร มีกี่คน มีวาระการดำรงตำแหน่งนานแค่ไหน เป็นเรื่องที่เราสามารถมาคุยกันได้ ให้ออกมาดีที่สุด แต่บางคนไปบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของคมช.ซึ่งผิดหมดไม่จริง พูดกันเกินไป เพราะเขามาตามช่องทางรัฐธรรมนูญ เช่นมาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกมา
ถ้าเราเห็นว่าโครงสร้างต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้มีปัญหาอะไรตรงไหนก็ต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ได้คุยกันได้ แต่ก่อนการแก้ไขก็ต้องถกเถียงให้เป็นที่เห็นพ้องต้องกันเสียก่อน…
-ศาลรัฐธรรมนูญไทยตั้งมาสิบกว่าปี เทียบกับศาลรัฐธรรมนูญต้นแบบอย่างที่เยอรมันแล้วมีความแตกต่างหรือมีอะไรต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง?
...ในแวดวงวิชาการนิติศาสตร์บ้านเรา ในเรื่องความลึกซึ้งจะไปเทียบกับเยอรมันไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีข้อบกพร่อง เมื่อมีข้อบกพร่อง เห็นการทำงานตรงไหนมีปัญหาก็เป็นหน้าที่ของวงวิชาการ ที่จะวิพากษ์วิจารณ์และเสนอแนะบนหลักเหตุผล และต้องโน้มน้าวให้สังคมเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุผลหากจะปรับอย่างไร...
-การปฏิรูประบบศาลทั้งศาลยุติธรรม ศาลอื่นๆเช่นศาลรัฐธรรมนูญผ่านแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าทุกอย่างเดินหน้า คงต้องเกิดขึ้น?
...การปฏิรูปศาล การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะต้องมีคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องมีหน้าที่ต้องผลักดันซึ่งความจริงมันต้องผลักดันมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มี
หรืออย่างกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ก็มีแล้วก็ควรต้องมีการผลักดันให้มีการตั้งสถาบันวิจัย ศึกษา เปรียบเทียบ ระบบกฎหมายของชาติต่างๆ เพื่อให้นำความรู้เหล่านี้มาใช้ในการปฏิรูปกฎหมายของไทยได้อย่างจริงจังก็พบว่ายังไม่ปรากฏ
ถ้าไม่ปฏิรูปกันด้วยความรู้ก็จะเป็นการปฎิรูปกันด้วยความรู้สึก ถ้าปฏิรูปด้วยความรู้สึก ก็จะเป็นการปฏิรูปแบบที่ตัวเองคิด ก็จะกลายเป็นเรื่องทำตามอำเภอใจ ประชาชนก็ต้องคอยดูว่าการปฏิรูปต่างๆ ต้องอย่าให้ใช้ความรู้สึกมากกว่าความรู้ ดังนั้นถ้ามีอะไรที่ดีกว่าแล้วเสนอให้ปฏิรูปผมก็ว่าสังคมก็พร้อมรับได้
ผมเห็นด้วยหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัดไม่ให้มีตัวแทนองค์กรศาลทุกศาลไปเป็นกรรมการสรรหาองค์กรอิสระหรือสรรหาสว. เพราะมันไม่เหมาะสมกับหน้าที่ของเขาเพราะถึงเวลาขึ้นมา พวกองค์กรอิสระถ้ามีคดีความอะไรขึ้นมาศาลก็ต้องเป็นคนตัดสิน ในแง่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องถ้าจะแก้ไขยกเลิก
เหตุเรื่องที่มีฝ่ายตุลาการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสรรหาองค์กรอิสระหรือสรรหาสว.เพราะที่ผ่านมาความไม่เชื่อถือต่อองค์กรสถาบันการเมืองมันมีมาก แล้วก็ไปฝากความเชื่อถือไว้กับสถาบันศาล ก็เลยออกมาในรูปนี้
ปัญหาที่ต้องถามต่อไปก็คือ ถ้าเราไม่ใช้สถาบันศาลแล้วจะหาสถาบันใดที่มีหลักประกันเรื่องความเชื่อถือที่ดีพอได้ แล้วเราจะมีกระบวนอย่างไรป้องกันไม่ให้มีการฮั้วกันได้ ไม่ได้แปลว่ากรรมการสรรหาปัจจุบันฮั้วกันไม่ได้นะ ก็อาจมีการล็อบบี้กันได้ เพียงแต่เราจะหาสถาบันไหนมาทำหน้าที่ตรงนี้แล้วเชื่อว่ามีการวิ่งเต้นล็อบบี้กันได้ยากที่สุด เพราะผู้ทำกิจกรรมการเมืองเขาไม่ได้สนใจที่จะรักษาคุณธรรมทางการเมือง แต่เขาสนใจที่จะใช้วิธีวิ่งเต้น จูงใจหรือให้ประโยชน์ผู้เกี่ยวข้องมากกว่าที่จะใช้วิธีการที่มีเหตุผลเป็นตัวตั้ง…
