'รอยล' ชี้จุดอ่อน ไทยไร้แผน แถมไม่ทุ่มงบฯ ลงทุน โครงการน้ำ
รอยล แจงร่วมมือเอกชนทำ CSR กับปชช.ป้องน้ำท่วม ชี้งบหลักทำยาก ระบุการจราจรทางน้ำไม่ดี เพราะไทยลงทุนแค่ 1 ใน 10 ของถนน รองสภาอุตฯ บอกมาตรการรัฐล่าช้า ห่วงกำแพงเอาไม่อยู่
วันที่ 19 มิถุนายน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดงานสัมมนา "น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง ประเทศไทยก้าวพ้นภัยพิบัติ" ณ โรงแรมแลนด์มาร์ก โดยมีปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "บริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ แก้วิกฤต น้ำท่วม-ภัยแล้ง ซ้ำซาก" โดย ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (กยน.)
ดร.รอยล กล่าวว่า การแก้ปัญหาการจัดการน้ำ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงธรรมชาติ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงมาดูว่าจะ มีวิธีการจัดการได้อย่างไรเพื่อเกิดระบบการจัดการในทุกพื้นที่ ซึ่งจริงๆ แล้วประเทศไทยค่อนข้างมีความพร้อม แต่สิ่งที่ขาดนั้นไม่ใช่เงิน หรืออุปกรณ์ แต่เป็นการขาดคนทำงานที่จะมานั่งดูและวิเคราะห์ข้อมูล
"ที่ผ่านมาเราจัดการเรื่องน้ำท่วมและภัยแล้วแบบแยกส่วนกัน ส่งผลให้ปีที่ผ่านเราเสียหายไปกว่า 1.44 ล้านล้านบาท ในขณะที่หากเรามีการพัฒนาและแก้ไขในส่วนของการจัดการ จะใช้งบประมาร 1-3 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 20% จากที่เสียหายเมื่อปี 2554 ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะผลผลิตที่ได้จะได้กลับมาเป็น 2 เท่าของที่ลงทุน" ดร.รอยล กล่าว และว่า ที่ผ่านมาไทยขาดการจัดการเรื่องโครงสร้างน้ำท่วม เห็นได้จากงบประมาณที่อุดหนุนในท้องถิ่นที่ใช้สำหรับเรื่องน้ำนั้นมีแค่ 2% เท่านั้น นั่นเพราะไทยให้น้ำหนักกับอุตสาหกรรม และคิดที่จะทิ้งภาคเกษตร โดยที่ไม่คิดว่าจะโตไปด้วยกัน
ทั้งนี้ ดร.รอยล กล่าวด้วยว่า เรื่องน้ำนั้นยังมีจุดอ่อนในการจัดการในระดับภาพย่อย (micro) เช่น การจัดทำแผนจำลอง ดังนั้น สิ่งที่ไทยต้องทำ คือ มีการจัดการในระดับท้องถิ่นที่ชุมชนต้องหันมาให้ความสนใจเรื่องน้ำมากขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือกับเอกชนในการสร้างโปรแกรมซีเอสอาร์ เพื่อคอยสนับสนุนการจัดการและเงินทุนในบางส่วนให้รวมตัวกันเป็นเครือข่าย แล้วจึงขยายผลต่อไป เหตุที่ต้องสร้างโปรแกรมดังกล่าวเนื่องจากระบบงบประมาณแบบปกติเกิดได้ยาก จึงต้องพึ่งเอกชน ทั้งนี้ การลงทุนในโครงสร้างน้ำของไทยมีเพียง 1 ใน 10 ของโครงสร้างถนน ที่ระบุชัดว่าทุก 7 ปีจะมีการราดยางมะตอยใหม่ แต่โครงสร้างน้ำไม่มีการวางแผนและวางงบประมาณ ในการแก้ไข ปรับปรุง
"การจัดการโครงสร้างน้ำ เรายังมองแค่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หากเปรียบเทียบกับถนนที่เรามองทั้งถนนเส้นหลัก เส้นกลางและถนนแยกตามซอกซอย ที่มีการลงทุนเป็น 10 เท่าของเรื่องน้ำ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องรถติดและยังต้องการการจัดการจราจรที่ดี เช่นเดียวกับเรื่องน้ำ ที่ต้องการการจราจรทางน้ำที่ดีด้วย ถึงวันนี้เราต้องหันกลับมาถามตัวเราเองว่าชุมชนเมืองมีส่วนร่วมในการจัดการ น้ำมากแค่ไหน โจทย์สำคัญขณะนี้ อยู่ที่การบริหารน้ำท่วมในชุมชนเมือง ที่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการป้องกัน ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่ต้องมีการจัดเรื่องการระบายและป้องกันล่วงหน้าที่จะทำให้เกิดความร่วมมือ กันมากขึ้น และทำควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ที่จะทำให้ประชาชนยินยอมในการแก้ปัญหาเรื่องน้ำเป็นอย่างดี"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นมีเวทีเสวนา "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย 'รับมือ' ความเสี่ยงใหม่ ภัยพิบัติ" โดย นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายจิรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัย และนายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)
เอกชนถาม มาตรการต่างๆ เอาอยู่หรือ
ดร.ธนิต กล่าวถึงการติดตามมาตรการการเยียวยาและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมของรัฐ ยังมีความล่าช้าอยู่ เนื่องจากกว่าธนาคารของรัฐกว่าจะตั้งตัวได้ก็เข้าเดือนกุมภาพันธ์ และปล่อยสินเชื่อไปไม่ถึง 4% ในส่วนมาตรการป้องกัน ได้ติดตามการสร้างกำแพงที่ยังสร้างไม่เสร็จ ส่วนคลอง ฟลัดเวย์ และฟลัดแพลนก็ไม่ได้บูรณาการ ไม่ได้ประยุกต์ บางส่วนยังไม่มีการขุดลอกและยังมีทางรถไฟขวางทางน้ำ จึงต้องตั้งคำถามว่ามาตรการเหล่านี้จะเอาอยู่หรือไม่
"ผมว่ามาตรการดี มองในระยะยาว แต่ระยะเฉพาะหน้ายังมองไม่เห็น แม้แต่มาตรการเยียวยาซ่อมแซมทุกวันนี้ก็ยังไม่เสร็จสิ้น หากเรามองเรื่องน้ำว่าเป็นวาระแห่งชาติ ก่อนอื่นต้องสร้างความเชื่อมั่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ให้การสร้างความเชื่อมั่นเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ เพราะมาตรการหลายอย่างยังขับเคลื่อนไม่ได้ ข้อนี้น่าห่วง"
ดร.ธนิต กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่ภาคเอกชนเตรียมรับมือไม่ทัน เนื่องจากไม่ได้รับรู้ข้อมูลจากภาครัฐที่ชัดเจน และไม่มีช่องทางให้สามารถติดตามข้อมูลป้องกันตนเองทั้งที่เกี่ยวกับพื้นที่ น้ำผ่านหรือน้ำท่วม รวมทั้งปริมาณน้ำและการพยากรณ์ต่างๆ ในปีนี้ภาครัฐควรมีช่องทางการกระจายข้อมูลที่ขัดเจน มีศูนย์บัญชาการด้านน้ำที่มีเอกภาพ มีงบประมาณและอำนาจเพียงพอในการสั่งการทั้งหน่วยงานภาครัฐและประชาชน
ในส่วนการลงทุน ดร.ธนิต กล่าวว่า เชื่อว่าในภูมิภาคนี้ประเทศไทยยังน่าลงทุนมากที่สุด เพราะเราอยู่ศูนย์กลาง มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุด และมีระบบคมนาคมที่ใช้ได้ ทั้งนี้ แผนแม่บทว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติเรื่องน้ำต้องไม่ทำแค่โครงสร้างพื้นฐาน ยังต้องพิจารณาเรื่องกฎหมาย และผังเมืองมากขึ้นด้วย
น้ำท่วมพลิกโฉมธุรกิจประกันภัย
ขณะที่นายจีรพันธ์ กล่าวถึงการประกันวินาศภัยนับว่าเป็นผู้ประสบภัยรายที่ 2 รองจากประเทศไทย ได้รับความเสียหาย 4.8 แสนล้าน เรียกได้ว่าเป็นการพลิกโฉมธุรกิจประกันวินาศภัยพอสมควร ก่อนเกิดน้ำท่วมมีทุนประกันเฉพาะภาคอุตสาหกรรม13 ล้านล้านบาท ซึ่งในอดีตไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่จัดให้ประเทศอยู่ในประเทศที่มีภัยพิบัติ ทำให้อัตราเบี้ยประกันมีน้อย แต่ปีที่แล้วความเสียหายของเราอยู่ในระดับรองๆ สึนามิจากประเทศญี่ปุ่น เป็นความเสียหายติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก จึงต้องมีการพิจารณากันใหม่แล้วว่าประเทศไทยมีความเสี่ยง และทำให้วงเงินเบี้ยประกันถูกจำกัดลง ธุรกิจประกันภัยและผู้บริโภคต้องบริหารจัดการกันใหม่
ด้านนายนิพิฐ กล่าวว่า แนวทางการป้องกันของผู้ประกอบการในขณะนี้ ส่วนมากได้ย้ายส่วนกำลังผลิตขึ้นชั้นที่สูงกว่าเดิม การสร้างกำแพงกั้นน้ำก็มีความสูง 5.5 เมตรและลงลึกใต้ดิน 7-9 เมตร สร้างเนินดินหน้าสถานประกอบการและจัดระบบปั๊มน้ำใหม่ให้สอดคล้องกับกำแพง เรียกได้ว่า มีระบบป้องกันตนเองพอสมควรแล้ว ในส่วนชุมชนโดยรอบการแก้ปัญหาต้องถามประชาม ร่วมมือกับประชาชนโดยรอบนิคมฯ ด้วย
"สิ่งที่ห่วงกังวลให้ภาครัฐช่วยจัดการและหาแนวทางแก้ คือ การจัดระบบโลจิสติกส์ในช่วงน้ำท่วม ทั้งนี้ในส่วน การผลิตไตรมาสแรกยังค่อยๆ กระเตื้องขึ้น จะเต็มที่ทั้งหมดประมาณไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ก็มีโรงงานที่เปิดทำการ 100% แล้วกว่า 40-50% เช่น กลุ่มยานยนต์ แม้ยังไม่ได้มีการประเมินตัวเลขชัดเจน แต่คาดว่าในไตรมาสที่ 3 และ 4 จะดีกว่าช่วงดังกล่าวในปีที่แล้ว นอกเสียจากจะเกิดเหตุการณ์หนักๆ ขึ้นอีก"
ส่วนนายปรเมธี กล่าวว่า ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ก็มีการคำนึงถึงภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ พิจารณาความเสี่ยงภัยธรรมชาติเป็นหัวข้อใหญ่ ทั้งที่มีผลจากโลกร้อนและเหตุการณ์อื่นๆ มียุทธศาสตร์การเตรียมรองรับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำและภัยพิบัติและเพิ่มความเข้มข้นในการจัดการ มากกว่าปีที่แล้ว
"ในแง่การวางแผนให้เป็นรูปธรรมในการจัดการความเสี่ยง ก่อนจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จะมีการประชุมเตรียมรับเหตุการณ์ ปรับปรุงกฎหมาย เพื่อรองรับความเสี่ยงทางภัยพิบัติ ที่ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติด้านเศรษฐกิจ เช่น ผลิตไม่ได้ การซื้อประกันมีปัญหา หาสินเชื่อไม่ได้หรือมีการย้ายฐานการผลิต" นายปรเมธี กล่าว และว่า การจะทำให้เรื่องภัยพิบัติเป็นวาระแห่งชาติต้องมีการวางระบบจัดการใหม่ วางแผนระยะสั้นเพื่อปรับปรุงโครงสร้างป้องกันให้ชัดเจนกว่าเดิม
