คอป.เปิด 5 ปมรากเหง้าความขัดแย้งสู่ปรองดอง

วันที่ 21 มิถุนายน คอป. จัดเสวนาเพื่อเผยแพร่ความรู้ ชุดโครงการ "ปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง" ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการเผยแพร่ร่างเอกสาร จากโครงการวิจัยและวิเคราะห์หาสาเหตุ แนวทางแก้ไขปัญหาและนำไปสู่ความปรองดอง ณ ห้องแกรนด์ ฮอลล์ 1 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยมี ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมกาอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็น ประธานเสวนา และชี้แจงว่า ข้อเสนอดังกล่าวเมื่อได้รับฟังความคิดเห็นแล้วทาง คอป.จะนำไปเป็นแนวทางประกอบการจัดทำรายงานปรองดองฉบับสุดท้ายเพื่อเสนอนายก รัฐมนตรีต่อไป
คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการ ในคณะกรรมการ คอป. ได้จัดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งสิ้นจำนวน 7 ครั้ง และสรุปตัวแปรที่เป็นปัจจัย รากเหง้าหรือสาเหตุของความขัดแย้งได้ 5 ตัวแปร ได้แก่ 1.โครงสร้าง อำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน 2.การจัดการด้านความมั่นคงและจิตสำนึกของทหาร 3.บริบทของสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ 4.การบังคับใช้กฎหมาย 5.สื่อสารมวลชน (ในฐานะเครื่องมือผลิตซ้ำทางความคิด) ซึ่งเป็นที่มาของ ชุดโครงการ "ปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง" ประกอบด้วย 5 โครงการวิจัย ได้แก่
1.โครงการวิจัย เรื่อง โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย โดย ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และการเมือง
ศ.ดร.ธเนศ กล่าวถึงผลการศึกษาว่า โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ก่อให้เกิดการเมืองของประชาชนระดับรากหญ้าและกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสังคมไทย ในส่วนทางออก หากพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงสังคมในระยะยาว จะต้องมีการต่อรอง ต่อสู้และเปลี่ยนผ่าน ในแบบที่คนจำนวนมากได้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งสิ่งจะนำมาใช้ในการต่อรอง คือ "ความคิดทางการเมือง" ที่ มีความขัดแย้ง แตกต่างกันในเชิงอุดมการณ์มาก จะต้องออกแบบให้ความแตกต่างของกลุ่มต่างๆ นี้เป็นระบบการเมืองที่รองรับความแตกแยกและแตกต่างนี้ได้ เพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมือง
"การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาว อาจไม่เสร็จภายใน 5-10 ปี แต่ต้องเริ่มต้น และคิดว่าจุดเริ่มต้น คือ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้เข้าสู่ระบบการเมืองที่เปิดขึ้น การใช้อำนาจทางการเมืองต่อจากนี้ต้องใช้แบบ "ผ่าน" ไม่ใช่ใช้ "เหนือ" สังคมอีกต่อไป"
2.โครงการวิจัย เรื่อง การปฏิรูปองค์การด้านความมั่นคง โดย อาจารย์สุภณิดา พวงผกา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อาจารย์สุภณิดา กล่าวถึงข้อจำกัดของกองทัพไทย ว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนอุดมการณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยคุกคามใหม่ใน ปัจจุบัน การนิยมภัยคุกคามไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง การแก้ปัญหากลายเป็นการเพิ่มปัญหา อีกทั้งยังมีโครงสร้างขนาดใหญ่ ที่ซ้ำซ้อน ทำให้การใช้ทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังขาดความเป็นวิชาชีพเป็นผลจากโครงสร้างกองทัพไทยที่ไม่สามารถบูรณาการได้ อย่างแท้จริง
3.โครงการวิจัย เรื่อง ความรุนแรงทางการเมือง พลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมและแนวทางแก้ไข โดย รศ.ดร.ฉันทนา บรรพศิริโชติ หวันแก้ว คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.ฉันทนา กล่าวถึงผลการศึกษาว่า เงื่อนไขที่เป็นตัวขับเคลื่อนพลวัตทางสังคม คือ การประสานพลังระหว่างพรรคการเมืองกับมวลชน โดยที่พรรคการเมืองจะดูดพลังมวลชนเข้าร่วม ภายใต้ตรรกะของพรรคที่จะต้องชนะเท่านั้น กลายเป็นธรรมเนียมของการเมืองไทยที่เป็นฝ่ายค้านไม่เป็น ระบบการเมืองไม่มีที่ให้ฝ่ายค้าน หรือเสียงข้างน้อยในระบบประชาธิปไตยได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
"การจะออกจากจุดความขัดแย้ง ที่ยังไม่ยุติ การแปรเปลี่ยนความขัดแย้งต้องปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ต้องสถาปนาความยุติธรรมและเปลี่ยนทัศนะของการอยู่ร่วมกันในความแตกต่าง ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ทำให้ปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม คือ "ความไม่ไว้วางใจ" โดย เฉพาะขณะนี้ภาวะความไว้วางใจตกต่ำ ไม่มีกลไกหรือหน่วยใดที่ประชาชนเชื่อถือ กระทั้ง ประธานสภาฯ ศาลหรืออัยการ ฉะนั้น จะต้องฟื้นฟูความไว้วางใจ โดยอาจมีการกำหนดกฎ กติกาและผลประโยชน์ เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานร่วมกัน"
4.โครงการวิจัย เรื่อง กระบวนการยุติธรรมกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรง ปัญหาและแนวทางแก้ไข โดย ผศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผศ.ดร.ปกป้อง กล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมในขณะนี้ว่า ถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่เป็นอิสระ ถูกแทรกแซงและขาดกระบวนการตรวจสอบ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเสริมสร้างความปรองดองของคนในประเทศ พิจารณาในส่วนของการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ กฎหมายอาญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะ แต่กลับถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและเล่นงานฝ่ายตรงข้าม เช่นกรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับกรณี ม.112 ผศ.ดร.ปกป้อง เห็นว่ายังมีความจำเป็น เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนต่อสังคมไทยและก่อให้เกิดความแตกแยก ต้องคำนึงด้วยว่าบริบทและพัฒนาการของไทยแตกต่างกับต่างชาติ อย่างไรก็ตามวิธีการบังคับหรือการกล่าวโทษต้องไม่เป็นช่องทางให้กลั่นแกล้ง กันได้ และอัยการจะต้องเข้าตรวจสอบตั้งแต่แรกเริ่ม
ในส่วนข้อเสนอต่อ พ.ร.บ.ปรองดอง เป็นการนิรโทษกรรมส่วนหนึ่งและยกเลิกกระบวนการดำเนินคดีที่เกิดจากรัฐประหาร ส่วนหนึ่ง เช่น กระบวนการ คตส.และการฟ้องผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นกระบวนการที่เร่งรัดเกินไป ไม่สอดคล้องกับหลักการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เพราะยังไม่ได้ทำให้ความจริงปรากฏ ยังไม่ดำเนินคดี และอาจกระทบต่อการเยียวยาผู้เสียหาย อีกทั้งไม่มีการป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต
5.โครงการวิจัย เรื่อง ขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารภายใต้บทบัญญัติ ของกฎหมาย โดย ผศ.วนิดา แสงสารพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ผศ.วนิดา กล่าวถึงขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนว่า แม้สื่อมวลชนไม่ได้เป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง แต่ปัญหารากเหง้าความขัดแย้งก็ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อมวลชน ยิ่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความทันสมัยของช่องทางการสื่อ สาร ประกอบกับกระบวนการใช้บังคับกฎหมายไม่เกิดผลและกระบวนการกำกับดูแลของสื่อ มวลชนยังเป็นปัญหา ส่งผลให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนมีส่วนที่ทำให้สถานการณ์ความขัด แย้งนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น
"การแก้ไขปัญหาของสื่อมวลชนไม่อาจกระทำได้โดยลำพังบุคคลหนึ่งบุคคลใด หากแต่จำต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐซึ่งในกรณีนี้คือรัฐบาลในฐานะที่เป็น ผู้กำหนดนโยบาย โดยสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิหน้าที่และเสรีภาพ ในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน กำหนดแยกระหว่างผู้ลงทุนในกิจการสื่อสารมวลชน ผู้บริหาร กับกองบรรณาธิการออกจากกันอย่างเด็ดขาด เพื่อให้กองบรรณาธิการมีอิสระ และสนับสนุนให้เกิด "สหภาพแรงงานสื่อมวลชน" เพื่อให้เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการคุ้มครองเสรีภาพของผู้ปฏิบัติงานในองค์กรสื่อ"
ทั้งนี้ ชุดโครงการ "ปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง" ยังประกอบด้วย โครงการ วิจัย เรื่อง จากเหง้าปัญหาสู่ทางออกทางเลือก ประสบการณ์ในต่างประเทศ โดย Mr.Samuel Gbaydee Doe ที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ความขัดแย้ง UNDP
Mr.Samuel ถอดบทเรียนรากเหง้าปัญหาสู่ทางออกทางเลือกและประสบการณ์ในต่างประเทศว่า ในการค้นหารากเหง้าของความขัดแย้ง จะต้องวิเคราะห์ถึงเบื้องลึกของปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและมีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาในสังคม ยกตัวอย่างแอฟริกาใต้ รากเหง้าของปัญหา คือ การลิดรอนและละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน มีการช่วงชิงอำนาจและทรัพยากร ส่วนในบางประเทศรากเหง้าของความขัดแย้งเกิดจากสงครามเย็น ดังนั้น คอป.ไม่ว่าจะในประเทศใด จะต้องหาปัจจัยรากเหง้าของความขัดแย้งให้ได้ และจะนำไปสู่การเปิดเวทีแสดงความคิดเห็น พูดคุยเพื่อหาทางออก และทำรายงานสรุปออกมาต่อสาธารณะชน
และ โครงการวิจัย เรื่อง จากรากเหง้าปัญหาสู่ทางออกทางเลือก รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย อนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการ
รศ.ดร.จุฑารัตน์ กล่าวสรุปถึงรากเหง้าปัญหาว่า ในส่วนโครงสร้างอำนาจ เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากโครงสร้างอำนาจ 3 กลุ่ม คือกลุ่มทุนเก่า กลุ่มทุนใหม่ และกลุ่มที่เป็นทางการที่ไม่มีหน้าที่แต่มีอำนาจ และมีความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับนักการเมือง เมื่อกลุ่มทางสังคมมีโครงสร้างทางอำนาจไม่เท่าเทียมก็พัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรงทางสังคม ในกรณีกองทัพ ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจโดยการรัฐประหาร และการบริหารจัดการความมั่นคงและจิตสำนึกของทหาร ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง สำหรับบริบทของสื่อมวลชนก็เป็นผู้ผลิตซ้ำชุดความคิดและคำพูดในเชิงยั่วยุให้ เกิดความแตกแยกและความรุนแรง
