ปาฐกถา 'ดร.สมคิด' เปรียบประเทศไทยเหมือนภาพเขียนโมเน่ต์ ดูไกลสวย ดูใกล้ขรุขระ

"ประเทศไทยเราจะเห็น “โดมิโน”
การถดถอยของการส่งออกอย่างแน่นอน"
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ จัดสัมมนา ในหัวข้อ "หนี้สาธารณะ : เพื่อชาติหรือระเบิดเวลา” โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้าเศรษฐกิจไทย”
ช่วงแรก ดร.สมคิด เล่าถึงการเดินทางไปเกาหลีใต้ และมีโอกาสพบนักธุรกิจบริษัทซัมซุง พบการพัฒนาของธุรกิจอิเลคโทรนิก สมาร์ทโฟน และกำลังมุ่งสู่ธุรกิจใหม่ๆ
"ผมได้มีโอกาสพบคนที่สร้างซัมซุงให้ประสบความสำเร็จ เลยถามเขาว่า อะไรเป็นเบื้องหลัง ปัจจัยความสำเร็จจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทอันดับโลก เขาบอกปัจจัย คือ ความมุ่งมั่น อะไรก็แล้วแต่ ที่ซัมซุงมุ่งมั่น ซัมซุงก็เหมือนเกาหลีใต้ เหมือนเป็นตัวแทน ซัมซุงจะทุ่มเทไม่ยอมแพ้ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ ทั้งๆ ที่ยุคแรกซัมซุงเริ่มจากธุรกิจเสื้อผ้า ผลิตชิ้นส่วนขายให้ธานินท์ของไทย จากไม่รู้เรื่องอะไร จนมาผลิตทีวี อัตราเสียที่ผลิตออกมาในเมืองไทยร้อยละ 30 ที่ปานามา ร้อยละ 60-70
แต่เมื่อเขาตั้งใจเต็มที่ที่จะมาเป็นอันดับหนึ่งให้ได้ เขาทุ่มเทเรื่องคุณภาพ และเขารู้ตัวว่า เมื่อจะเอาชนะญี่ปุ่น มีทางเดียวคือเรื่องเทคโนโลยี ทุ่มเททรัพยากรลงไป ซัมซุงมีพนักงานกว่า 2 แสนคนทั้งโลก แต่มีเจ้าหน้าที่ R&D 1 ใน 4 ของพนักงานซัมซุงทั่วโลก (50,000คน) ขณะนี้เขากล้าเจียดงบประมาณ 6 แสนล้านบาท เพื่อใช้ ถึงปี 2020 สำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ขณะที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประกาศเดินหน้าเข้าสู่ยุค Green development อุตสาหกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทุกๆ อุตสาหกรรม ไม่เขาจะอยู่หรือจะไป คนที่มาแทนไม่ว่าจะพรรคไหนก็มุ่งสู่ถนนสายนี้จนกว่าจะประสบความสำเร็จ"
อีกประเทศหนึ่ง คือ พม่า ประเทศนี้ล้าหลัง เขายอมรับ ล้าหลัง แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ ความหวังในอนาคต เขามองเห็นว่า อนาคตสิ่งดีๆ นั้นกำลังเกิดขึ้นในประเทศนี้ เขากระตือรือร้นและรอวันนั้นอยู่
“ทั้งสองประเด็น ความมุ่งมั่น และความคาดหวังในอนาคต สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาก่อน แต่มันค่อยๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเรามีโมเมมตัม อย่างนี้ แล้วประเทศอื่นเป็นอย่างนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าเราอยู่ตรงไหน”
เมื่อลองมองเหลียวกลับไปในอดีตที่ผ่านมา ประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคและขวากหนามพอสมควร เราโชคดีฟื้นตัวจากเศรษฐกิจปี 2540 เร็ว แต่ก็โชคไม่ดีต้องเผชิญวิบากกรรมหลายๆ อย่าง เริ่มตั้งแต่ โรคระบาด ไข้หวัดนก ภัยธรรมชาติ ความรุนแรงภาคใต้ เศรษฐกิจโลก น้ำท่วม จนกระทั่ง ความขัดแย้งภายในประเทศ
สิ่งต่างๆ ที่เราฟันฝ่ามา ไม่เพียงแต่จะบั่นทอนเศรษฐกิจ ยังฉุดรั้งโอกาสการปฏิรูป และพัฒนาประเทศ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อประคองฐานะทางเศรษฐกิจ เช่น เวลาเราเจอวิกฤติเศรษฐกิจโลก ภัยธรรมชาติเราก็ฉีดเงินเข้าไป เพราะเป็นวิกฤตการณ์ที่มีความจำเป็น
ตั้งแต่ปี 2549-2555 เราขาดดุลตลอด
ปี 2550 เราขาดดุล 146,000 ล้านบาท โดยประมาณ จนล่าสุดปี 2554 ขาดดุล 400,000 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ถามว่า เราแลกกับอะไร เราแลกกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
“ตอนนี้ผมไม่แน่ใจ GDP มีตัวตนหรือไม่ ปี 2550 GDP เติบโต 4.9% โดยเราขาดดุล 146,000 ล้านบาท จากนั้น ก็ 2.5%,2.3%, 7.8% และ 0.1% ปี 2554 เฉลี่ยแล้ว GDP ประมาณ 2.6% หากเราหันกลับไปมองดูจากตัวเลข ที่ผ่านมา มีอะไรที่เป็นสาระ เป็นพื้นฐานที่ก้าวไปสู่อนาคตหรือไม่ มีอะไรที่คุ้มค่าหรือไม่”
หากเรามองดูฐานะความเป็นจริงตัวเลขเศรษฐศาสตร์มหภาค เราก็มีพื้นฐานที่แน่นหนาพอสมควร เรามีหนี้สาธารณะพอประมาณ หนี้ต่อ GDP ประมาณ 41% เรามีเงินสำรอง มากกว่าหนี้ในต่างประเทศระยะสั้น มีอัตราเงินเฟ้อที่พอควบคุมได้ ซึ่งก็น่าจะมีความแน่นหนาพอสมควรที่จะเผชิญอะไรหลายๆ อย่าง
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นบุญเก่า ที่เรากำลังใช้มันอยู่ มีคนบอกผมว่า “ประเทศไทยเหมือนภาพเขียนของโมเน่ต์ ต้องดูไกล จึงสวย ดูใกล้ มีสองอย่าง คือ เบลอ และสีมันขรุขระ ไม่สวยงาม”
เปรียบก็คือว่า ตัวเลขแม้สวยงาม แต่ในความเป็นจริงมีความไม่สมดุลอยู่หลายอย่าง เช่น ความไม่เท่าเทียม เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ไขในระยะยาว
แต่ในช่วง 3-5 ปี ข้างหน้า ผมคิดว่าสำคัญมากๆ ที่เราจะเป็นอย่างไร ผมมองว่า เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถตอบสนองเงื่อนไข ได้ดีพอหรือไม่
1.ตอบสนองต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งครั้งนี้วิกฤติของยุโรป ลึกและใช้เวลาพอสมควร แม้เราผ่านปี 2540 มาแล้ว โดยปีนั้นเกาหลีใต้กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ต้องปฏิรูปธนาคาร เศรษฐกิจอย่างชัดเจน ไทยต้องปิดธนาคาร ต้องตั้งบสท.บริหารหนี้เสีย ปั๊มการส่งออก ดึงดูดการท่องเที่ยว นับเป็นช่วงเวลาที่ยาก
มาดูในอเมริกา 3-4 ปีที่แล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากไปอุ้มสถาบันการเงิน และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไป การทำเช่นนั้นโดยไม่มีการปฏิรูปเลย ความสามารถทางการแข่งขันลดน้อยถอยลงทุกวัน ก็เหมือน “คนอมทุกข์อมโรค” โดยมีตัวเลขเริ่มฟ้อง ตัวเลขการว่างงาน ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทุกอย่างอ่อนแอ ถดถอยลง
หันมาทางยุโรป เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับไทย ยุโรปมีปัญหา 2 อย่าง 1.ความหวาดกลัว กรีซ มีปัญหาคนกลัวกรีซล่ม จะเป็นอย่างไร หลุดออกจากยูโรแล้วจะเป็นอย่างไร จะไปถึงสเปน อิตาลีหรือไม่ ตลาดหุ้นไทยก็กลัวยุโรปตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว
2. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจริงมีหรือไม่ ขณะนี้แม้จะมีนโยบายพยายามปล่อยสินเชื่อค้ำจุนสเปนก็ดี หรืออิตาลีในอนาคต ก็เพื่อให้เกิดความสงบจากความกลัว แต่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจริงๆ แล้ว ยังไม่มีเลย
"ประเทศอย่างกรีซก็ดี สเปนก็ดี โปรตุเกสก็ดี ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มสมรรถนะ มิเช่นนั้นจะหาเงินจากไหนมาจ่ายหนี้ แต่อุปสรรคสำคัญ ขณะนี้คือ การ ถูกบีบบังคับให้มีระเบียบวินัยทางการเงินการคลัง โดนเรื่องระเบียบ ตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เป็นไปได้อย่างไรที่ “กรีซ” จะกระตุ้นตัวเอง"
อีกทั้งการมีเงินสกุลเดียวภายใต้หลายๆ ประเทศ ซึ่งมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แปลว่า นโยบายการเงินทำอะไรไม่ได้ ประเทศอย่างกรีซ ใช้เงินยูโร เดียวกับเยอรมันใช้ หากไม่สามารถลดค่าเงิน เขาจะดึงนักท่องเที่ยวได้อย่างไร จะส่งออกได้อย่างไร สิ่งที่เป็นนโยบายเดียวเหมาะที่สุดอย่างประเทศเยอรมัน ได้เปรียบทุกอย่าง แต่กรีซ โปรตุเกสต้องรับภาระ
และการที่กรีซได้รัฐบาลใหม่ แม้จะทำให้ความกลัวลดน้อยลง แต่โอกาสที่กรีซจะปฏิรูปและดีขึ้นได้ เชื่อใช้เวลาแน่นนอน ดังนั้นยุโรปใช้เวลาแก้วิกฤติอีกหลายปีแน่ และไม่รู้บั้นปลายที่ท้ายอุโมงค์จะเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจประเทศอื่น ทั้งจีน อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ขยายตัว หรือค้ำจุนให้เกิดการเติบโตได้ดีเหมือนก่อน ดังนั้นสำหรับประเทศไทยเราจะเห็น “โดมิโน” การถดถอยของการส่งออกอย่างแน่นอน จะหวังพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศก็เป็นไปได้ยาก เพราะบรรยากาศการลงทุนนั้นในสถานการณ์โลกอย่างนี้ไม่ง่าย โดยเฉพาะบรรยากาศการเมืองไทยเป็นแบบนี้ ไม่ง่าย
ฉะนั้นในภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ อาวุธสำคัญมากๆ คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็น ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนจากรัฐบาลค่อนข้างน้อยประมาณ 25% ส่วนใหญ่เน้นการกระตุ้นการบริโภค การใช้จ่ายของรัฐบาลหลายปีที่ผ่านมา ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง จนเหมือนหนึ่งว่า การขาดดุลเป็นความปกติของเมืองไทยไปแล้ว การสมดุลกับกลายเป็นความผิดปกติของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งก็อยู่ที่มุมมอง
ผมมองว่า การใช้จ่ายรัฐบาลจำเป็น
ถ้าประเทศไทยต้องกู้เงินปีละ 400,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี โดยGDP เติบโตที่ปีละ 5% จะมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 47% ถ้าจีดีพีเติบโต 4% สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 50% หรือถ้าจีดีพีเติบโต 3% สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 52% ซึ่งจะไม่เกินกว่าที่สากลระบุไว้ว่า ยอมรับได้
ดังนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมาเถียงกัน….
ในอดีตเวลามีวิกฤติเราจะอัดฉีดเงิน กระตุ้นการบริโภค ซึ่งทำเป็นครั้งคราว ในวาระเร่งด่วนไม่เป็นไร แต่หากทุกครั้งต้องอัดฉีด รายได้ก็ไม่พอ ต้องกู้เขามา อีก 5 ปีข้างหน้า ถึงแม้เราจะยังอยู่ได้ แต่ความสามารถในการสร้างรายได้เริ่มมีปัญหา จึงอยู่ที่ว่า คุณใช้จ่ายอะไร ตรงนี้แหละสำคัญ
ผมขอให้ไปดูจีนขณะนี้ ปีที่ผ่านมา ที่การส่งออกของจีนพัฒนาและเติบโตขึ้นมาได้ 15% เหตุผลเพราะจีนนำเงินไปลงทุนพัฒนาประสิทธิภาพทางการผลิตของเครื่องจักร ทั้งประเทศ หลังมีต้นทุนค่าแรงสูง
ตรงนี้น่าสนใจ ไทยขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ซึ่งผมเห็นว่าควรขึ้น แต่อย่างอื่นต้องตามมาด้วย ทั้งการปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัย เรื่องนี้ใครจะดูแล หรืออย่างล่าสุด โครงสร้างพื้นฐานที่ยังค้างอยู่ รัฐบาลจีนเริ่มเคาะให้ออกมาแล้ว โดยจีนไม่มีการมาแจกคูปองให้บริโภค เขาเริ่มนำเงินก้อนใหญ่อัดฉีดไปที่รากหญ้า พัฒนาความสามารถด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีลงไป เพิ่มมูลค่าสินค้า สินค้าจีนไม่ใช่สินค้าถูกๆ แล้ว แต่เริ่มมีมูลค่าแข่งกับตลาดโลกแล้ว
ถามว่า ฐานะทางการเงินการคลังเรารับไหวหรือไม่
1.หากรัฐบาลมีภาระต้องใช้จ่ายเงิน การใช้จ่ายเงินของรัฐบาลต้องมีการจัดลำดับความสำคัญ อะไรที่ไม่สำคัญละทิ้งไปบ้างก็ไม่ใช่การเสียหน้า
2.การจัดงบประมาณต้องไม่ใช่การแบ่งงบประมาณตามรายกระทรวงเหมือนปัจจุบัน เพราะเกิดความเหลื่อมล้ำตลอด ขณะเดียวกันต้องมีการปฏิรูปการคลังควบคู่กันไปด้วย หากไม่ปฏิรูป เราจะมีปัญหา
“ ในภาวะแบบนี้ให้นึกถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รู้ว่าอะไรคือความพอดี การตัดสินใจต้องมีเหตุมีผล สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยง โดยไม่จำเป็น”…..
{youtubejw}r9LFG0-l-qU{/youtubejw}
