“วัดประชาธิปไตย” อนุสรณ์การเปลี่ยนแปลง 2475 แม้ชื่อก็ไม่เหลือ ?
การเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 24 มิถุนายน 2475 เป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ใหญ่หลวงที่หากพลาดโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร
ธรรมเนียมไทยการจะกระทำเรื่องยิ่งใหญ่เสี่ยงตายอย่างนี้ จำต้องดูดวงดาวดูฤกษ์ดูยามเป็นอย่างดี หากสำเร็จเรียบร้อยเป็นไปด้วยดีก็จะต้องทำบุญอย่างยิ่งใหญ่ เช่น สร้างวัด สร้างพระถวายเป็นพุทธบูชา แต่คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองนี้โดยเฉพาะหัวหน้าคือท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นนักเรียนนอกหัวก้าวหน้า จึงไม่ถือความจำเป็นกับความเชื่อความเชื่อเหล่านี้นัก และทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
การเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามดวงชะตาเมือง ความจริงมีคำทำนายการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไว้นับตั้งแต่เริ่มแรกวางเสาหลักเมือง ซึ่งมิได้ปรากฏหลักฐานใดว่าเป็นคำทำนายจากโหราจารย์ แต่มีบันทึกว่าเป็นคำตรัสของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ารัชกาลที่ 1 ว่านับจากลงเสาหลักเมืองแล้วชะตาเมืองจะร้ายไป 7 ปี 7 เดือน หลังจากนั้นแล้วจะมีกษัตริย์ลำดับไปถึง 150 ปี
(ช่วง 7 ปี 7 เดือนนั้น มีฟ้าผ่าไฟไหมพระที่นั่งอัมรินทร์มหาปราสาท ณ วันอาทิตย์ เดือน 7 ขึ้น 1 ค่ำ ปีระกาเอกศก เพลาบ่ายโมง 6 บาท ท่านตรัสว่าเทพยดาบันดาลให้เกิดไฟไหม้พระมหาปราสาท ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนแล้วเสียพระมหาปราสาท แต่คราวนี้เสียพระมหาปราสาทถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ไป)
รัชกาลที่ 4 ท่านมีพระราชวิจารณ์ว่า “คำว่าลำดับถาวรกษัตริย์ถึง 150 ปี นั้นดูปรารถนาน้อยเกินนักถ้าหากว่าจะใช้กำหนดปี ควรใช้คำว่าสืบกษัตริย์ถึง 150 นี่ไม่ใช่เช่นนั้น ใช้ว่าลำดับกษัตริย์ ถ้าจะว่า 150 องค์ 150 ชั่ว ไม่ได้หรือ” แต่พระองค์ก็ทรงทำพิธีแก้เคล็ดดวงเมืองต่างๆ เช่นโปรดให้วางหลักเมืองใหม่ รวมทั้งการโปรดให้พระปิ่นเกล้าเป็นกษัตริย์เคียงข้างพระองค์
24 มิถุนายน 2475 ปีที่กรุงเทพมหานครมีอายุ 150 ปี คณะราษฎร์นำโดยนายปรีดี ก็ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อาจทรงรับรู้และเต็มพระทัยจะสละพระราชอำนาจเพื่อประชาชนชาวไทย เพราะจากเอกสารที่ได้เคยผ่านตาพบว่าทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้ารวมทั้งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีมีความคุ้นเคยกับนายปรีดี และพระเชษฐาของพระนางเจ้ารำไพพรรณีคือหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิทสวัสดิวัตน์ก็ศรัทธานายปรีดี และทรงเป็นผู้นำเสรีไทยสายอังกฤษ ซึ่งน่าจะทราบความคิดอ่านของนายปรีดีเป็นอย่างดี
เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งเป็นงานใหญ่และสำคัญสำเร็จลง โดยธรรมเนียมไทยจะต้องมีการทำบุญครั้งสำคัญ เช่น สร้างวัด สร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ความคิดดังกล่าวก็อยู่ใจของผู้ร่วมก่อการหลายท่าน จนปี พ.ศ. 2483 นายกรัฐมนตรีพลตรีหลวงพิบูลสงคราม จึงเสนอคณะรัฐมนตรีถึงการสมควรที่จะสร้างวัดชื่อว่า ”วัดประชาธิปไตย” รัฐบาลอนุมัติเงิน 1 แสนบาท สำรองเผื่อขาดเผื่อเหลืออีก 39.000 บาท
บางท่านคงสงสัยว่าวัดประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน อยู่ในกรุงเทพฯเมืองหลวงนี่เอง มีเจดีย์ใหญ่หน้าวัดสูง 38 เมตร มีป้ายหินอ่อนจารึกข้อความว่า…
“เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2488 เวลา 09.30 น.พลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องสร้างวัดประชาธิปไตยว่า ข้าพเจ้าอยากขออนุมัติเงินสักแสนบาท เพื่อสร้างวัดสักวัดหนึ่งในสมัยประชาธิปไตย และใคร่จะให้แล้วเสร็จทันงานวันชาติ 24 มิถุนายน ศกนี้ และสถานที่จัดสร้างนั้นอยากจะสร้างไว้ที่ใกล้อนุสาวรีย์หลวงอำนวยสงคราม ตำบลหลักสี่ ที่ประชุมเห็นชอบด้วย “
พูดถึงวัดประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้คงไม่มีใครรู้จักแล้ว เพราะภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระศรีมหาธาตุ” เดิมมีหลักเกณฑ์ว่าภายในวัดจะต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องมีพระสงฆ์ทั้งที่สังกัดมหานิกายและธรรมยุตนิกายที่ปกติจะแยกกันอยู่ไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกัน จะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ในวัดประชาธิปไตย
ความคิดเรื่องรัฐบาลจะสร้างวัดประชาธิปไตย ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปจำนวนมาก มียอดเงินบริจาคถึง 30,094,341,.34 บาท ซึ่งมากมายมหาศาลสำหรับยุคนั้น รัฐบาลได้ซื้อที่ดิน 50 ไร่ ถมแล้วสร้างมหาเจดีย์ สร้างโบสถ์ ศาลาการเปรียญ กุฎิ เมรเผาศพ
วัดนี้นอกจากจะสร้างเพื่อทำบุญใหญ่ฉลองความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ยังต้องการให้คณะสงฆ์ไทยเกิดความสมานฉันท์ เลิกแบ่งเป็นธรรมยุตเป็นมหานิกายและร่วมทำสังฆกรรมด้วยกันโดยดี
“วัดประชาธิปไตย” ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 24 มิถุนายน 2484 นิมนต์พระฝ่ายมหานิกาย 12 รูป ฝ่ายธรรมยุต 12 รูป มาเริ่มประเดิมแรก แต่ไม่นานเท่าไหร่ก็เหลือพระเพียงนิกายเดียว คือนิกายธรรมยุต เพราะเจ้าอาวาสรูปแรกคือสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ที่นิมนต์มาจากวัดบรมนิวาสซึ่งเป็นวัดฝ่ายธรรมยุต ในที่สุดพระฝ่ายมหานิกายก็หายไปทีละองค์สององค์ จนกลายเป็นวัดฝ่ายธรรมยุตในทุกวันนี้
ไม่แน่ใจว่า “วัดประชาธิปไตย” ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะเหลือพระสงฆ์อยู่ฝ่ายเดียวหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดพระศรีมหาธาตุ” ซึ่งเป็นเพียงการบ่งบอกถึงพระมหาธาตุเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ในวัด แต่ก็ลบเลือนความเป็นมาของวัด เหมือนกับหลายๆอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ถูกลบเลือนจากความทรงจำของประชาชน แม้แต่วันชาติไทย(24 มิถุนายน) สมัยนี้มีใครสักกี่คนที่รู้จัก .
ที่มาภาพ : http://www.cremation-rtaf.net/cremation/Temp.asp
