ทีดีอาร์ไอฉะช่องโหว่ พ.ร.บ. การออม แนะแก้ก่อนผ่านสภา
ถก
“สวัสดิการสังคมไทยในทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21" ประธานทีดีอาร์ไอเตือนระวังกองทุนประกันสังคมล้มละลาย เพราะรัฐแบกหนี้ไม่ไหว ชี้ช่องโหว่ร่าง พ.ร.บ.การออมแห่งชาติที่อยู่ในสภาฯ ตุลาการศาล รธน.แนะระบบสวัสดิการควรเริ่มตั้งแต่ในท้องแม่ และต้องยืดหยุ่นตามฐานะประเทศ
วันที่ 21 ตุลาคม ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ วันอาสาสมัครไทย และการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมีพิธีประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่น องค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ
นางพนิดา กำภู ณ อยุธยา ปลัด พม.กล่าวถึงผลการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมปี 2552 ว่ามีข้อเสนอแนะในการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทย 5 ด้าน 1.ปฏิรูปไปสู่การเป็นสังคมสวัสดิการ 2.ปฏิรูประบบช่วยเหลือทางสังคม 3.ปฏิรูประบบประกันทางสังคม 4.ปฏิรูประบบบริการทางสังคม 5.ปฏิรูประบบการลงทุนเพื่อสวัสดิการประชาชน ซึ่งได้นำไปจัดทำร่างแผนปฏิบัติการการจัดสวัสดิการถ้วนหน้าปี 2560 และเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการทางสังคมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแล้ว
ในเวทีอภิปรายเรื่อง"สวัสดิการสังคมไทยในทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21" รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.) กล่าวถึงการสร้างระบบบำนาญชราภาพในสังคมไทยว่า กฎหมายประกันสังคมที่กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 55 ปีเป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะคนไทยมีอายุยืนขึ้น ทั้งนี้มีตัวอย่างจากประเทศฝรั่งเศสที่สหภาพแรงงานออกมาประท้วงการปฏิรูปกฏหมายบำนาญของรัฐบาลที่ปรับอายุเกษียณจาก 60 เป็น 62 ปี รวมทั้งเพิ่มอายุผู้มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกษียณจาก 65 เป็น 66 ปี เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสต้องแบกรับภาระการคลังเพิ่มสูงขึ้น สำหรับประเทศไทยแม้จะมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบการศึกษาฟรี 15 ปี แต่ยังไม่มีระบบสวัสดิการชราภาพที่สมบูรณ์ และแรงงานนอกระบบอีกกว่า 26 ล้านคนยังเข้าไม่ถึงสวัสดิการ
ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า ระบบสวัสดิการสังคมที่เหมาะกับประเทศไทยควรมี 3 แบบ คือหนึ่ง-กองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งเป็นหลักประกันบำนาญขั้นต่ำที่รัฐช่วยเหลือทุกคน และถือเป็นการประกันชราภาพ สอง-กองทุนประกันสังคม ที่มาจากเงินสมทบนายจ้างและลูกจ้าง และสาม-การออมโดยสมัครใจ ทั้งนี้กฏหมายประกันสังคมไทย โดยเฉพาะการประกันชราภาพยังมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายในอีก 30 ปีข้างหน้า เพราะกลายเป็นภาระหนี้ที่รัฐบาลแบกไม่ไหว โดยควรเปลี่ยนจากให้จ่ายเงินบำนาญตามหลักผลประโยชน์เป็นให้จ่ายบำนาญชราภาพตามเงินสมทบ นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.การออมแห่งชาติ ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ต้องให้แรงงานที่ออกจากกองทุนประกันสังคมก่อนได้รับบำนาญคืออายุยังไม่ครบ 55 ปี กรณีตกงาน สามารถโอนเงินสะสมจากกองทุนประกันสังคมเข้ามาสมัครอยู่ในกองทุนการออมแห่งชาติได้
ประธานทีดีอาร์ไอ ยังกล่าวว่า ควรมีเพียงกองทุนเดียว และเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าร่วมได้ตามเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ต้องสร้างแรงจูงใจให้แรงงานส่วนใหญ่ซึ่งมีรายได้รายวัน และอยู่นอกระบบประกันสังคม เข้าสู่กองทุนการออมแห่งชาติได้ นอกจากวิธีที่รัฐจ่ายเงินสมทบ ถ้าสามารถออมเองได้เกินเงินออมขั้นต่ำที่กำหนดไว้ รัฐอาจให้ดอกเบี้ยเพิ่มในส่วนที่ออมเกิน
ด้าน รศ.ดร.จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป้าหมายของระบบสวัสดิการถ้วนหน้าในอีก 10 ปีข้างหน้า ควรเน้นที่ระบบสวัสดิการชราภาพ เพื่อไม่ให้เกิดภาระกับสังคม นอกจากนี้ต้องให้สวัสดิการคนไทยตลอดชีวิต ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ซึ่งจะสร้างคนที่มีคุณภาพของชาติในอนาคต ทั้งนี้การบริหารระบบสวัสดิการของประเทศไทยต้องโปร่งใส มีความมั่นคงของสวัสดิการระยะยาว และมีความยืดหยุ่นปรับปรุงให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศได้
"ให้สวัสดิการตั้งแต่อาหารเสริมกับหญิงตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วให้นมที่มีคุณภาพ และจะต้องออกแบบระบบงานสวัสดิการให้ยั่งยืน ไม่เสี่ยงต่อการล้มละลายเหมือนกองทุนประกันสังคมขณะนี้ที่ใหญ่มาก แต่กำลังจะแย่ นอกจากนี้ต้องสร้างวัฒนธรรมการออม จากงดโฆษณาบัตรเครดิตต่างๆที่ส่งเสริมให้คนฟุ่มเฟือยเป็นหนี้ที่ไร้ประโยชน์ ขัดต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เกื้อกูลระบบสวัสดิการสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน” ดร.จรัญ กล่าว .
