รธน.-ระบบการเมืองใหม่ ต้องย้อน...กลับไปไกลถึงไหน จึงเหมาะ ?

รองศาสตราจารย์ พรชัย เทพปัญญา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดผลการศึกษาปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 เพื่อนําไปสู่ระบบการเมืองใหม่ The Study of Problem for New Political System เพื่อนําไปสู่ระบบการเมืองใหม่ โดยได้มีการเก็บ ข้อมูลภาคสนามจำนวน 4,712 ตัวอย่างจาก 4 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ อุดรธานีและสงขลา ซึ่งการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพได้จัดการสนทนากลุ่ม 4 ครั้ง สัมภาษณ์นักวิชาการและวิจัยเอกสาร
ผลการศึกษาพบว่า
ประการแรก ความคิดทางการเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ยังให้ความสําคัญกับแนวคิดทางการเมืองแบบอํานาจนิยม วัฒนธรรมทาง การเมืองแบบไพร่ฟ้าผสมแบบมีส่วนรวม โดยมีประชาชนบางส่วนจะไม่สนใจในกิจกรรมทาง การเมืองโดยยอมปฏิบัติตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลโดยปราศจากข้อขัดแย้ง
ประการที่สอง ปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปี พ. ศ. 2550 เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัแย้งทางการเมืองในประเทศเพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่มาจากรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ประการที่สาม องค์ประกอบของระบบการเมืองใหม่ยังคงใช้ระบบรัฐสภาโดยมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครอง ทั้งนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในระบบการเมืองทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น โดยให้ประชาธิปไตยและเปิด พื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
และประการที่สี่ ระบบการเมืองใหม่ให้ความสําคัญในหลักธรรมาภิบาลและหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี
เหตุผลผลศึกษาเป็นเช่นนี้ เพราะมาจากการตอบคําถามที่อยู่ในแบบทดสอบทั้งหมด 45 ข้อ ดัง ตัวอย่าง
1. เวลาเกิดวิกฤติทางการเมืองทหารควรใช้วิธีการรัฐประหารเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน
เห็นด้วยร้อยละ 57.6 ไม่แน่ใจ 21.2 ไม่เห็นด้วย 21.2
2. ประเทศไทยไม่สามารถใช้การปกครองประชาธิปไตยได้เพราะคนขาดความรู้และขาย เสียงเลือกตั้ง
เห็นด้วยร้อยละ 40.2 ไม่แน่ใจ 26.4 ไม่เห็นด้วย 21.2
3. ท่านเชื่อว่านายกฯ ที่มาจากรัฐประหารแก้ไขปัญหาของประเทศได้ดีกว่านายกฯ ที่มา จากการเลือกตั้ง
เห็นด้วยร้อยละ 48.4 ไม่แน่ใจ 37.2 ไม่เห็นด้วย 14.3
4. ควรมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
เห็นด้วยร้อยละ 18.5 ไม่แน่ใจ 21.3 ไม่เห็นด้วย 60.2
5. อํานาจตัดสินใจด้านทรัพยากรควรเป็นของชุมชน รัฐบาลไม่ควรก้าวก่าย
เห็นด้วยร้อยละ 23.7 ไม่แน่ใจ 36.7 ไม่เห็นด้วย 45.6
6. ประชาชนมีสิทธิจะไม่เชื่อฟังรัฐบาล
เห็นด้วยร้อยละ 26.3 ไม่แน่ใจ 26.9 ไม่เห็นด้วย 46.8
7. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า คณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรมาจากการเลือกตั้ง
เห็นด้วยร้อยละ 19.3 ไม่แน่ใจ 25.3 ไม่เห็นด้วย 55.5
8. สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งควรมีอํานาจตรวจสอบรัฐบาลได้เช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร
เห็นด้วยร้อยละ 10.2 ไม่แน่ใจ 17.7 ไม่เห็นด้วย 71.4
9. ควรเลิกกฎหมายการหมิ่นศาลเพราจะทําให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบ กระบวนการยุติธรรม
เห็นด้วยร้อยละ 24.3 ไม่แน่ใจ 23.8 ไม่เห็นด้วย 51.9
10 . ประชาชนควรมีอํานาจในการเสนอร่างกฎหมายได้โดยตรง ถ้ามีประชาชนลงชื่อเห็นด้วย มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เห็นด้วยร้อยละ 15.2 ไม่แน่ใจ 21.6 ไม่เห็นด้วย 63.2
11 . ภาคประชาชนควรมีอํานาจในการตรวจสอบการตัดสินคดีของศาลยุติธรรม
เห็นด้วยร้อยละ 13.8 ไม่แน่ใจ 20.5 ไม่เห็นด้วย 65.7
12 . สมาชิกวุฒิสภาควรจะมาจากการเลือกตั้งมากกว่าสรรหา
เห็นด้วยร้อยละ 12.1 ไม่แน่ใจ 18.2 ไม่เห็นด้วย 69.7
13 . ความสมานฉันท์ในชาติจะเกิดขึ้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องได้รับความเป็นธรรม
เห็นด้วยร้อยละ 30.3 ไม่แน่ใจ 27.3 ไม่เห็นด้วย 42.4
14 . ประชาชนควรมีอํานาจในการถอดถอนคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ได้โดยตรงไม่ต้องใช้อํานาจทางอ้อมใดทั้งสิ้น
เห็นด้วยร้อยละ 22.5 ไม่แน่ใจ 21.9 ไม่เห็นด้วย 55.6
15 . การกําหนดคุณสมบัติผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาต้องจบ ปริญญาโท
เห็นด้วยร้อยละ 40.6 ไม่แน่ใจ 20.0 ไม่เห็นด้วย 39.4
ทั้งนี้ ถ้าวัฒนธรรมการเมืองของคนไทยเป็นแบบผลสํารวจ คําถามวิจัยที่ตามมาก็คือ
รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองใหม่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงขนาดไหนถึงจะเหมาะสมกับ วัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยเราจะต้องกลับไปสู่การนําเอารัฐธรรมนูญ พ. ศ. 2475 ที่มีการเลือกตั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อมหรือจะกลับไปสูรัฐธรรมนูญฉบับปี พ. ศ. 2511 ที่ให้บทบาทของข้าราชการประจํามีอํานาจทางการเมือง หรือจะก้าวต่อไปเพื่อสร้างความทันสมัยของรัฐธรรมนูญและระบบการเมือง โดยมีกระบวนการเรียนรูทางการเมืองของคนไทยศึกษาควบคูกันไป
คําถามที่สําคัญที่ตามมาคือ ระหว่างทางที่จะไปสู่ความทันสมัยทางการเมือง จะมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นหรือไม่ ดังเช่นที่เคยผ่านมาในอดีตของการปฏิรูปการเมืองเมื่อ ปี พ. ศ. 2540 และมีรัฐธรรมนูญฉบับปี พ. ศ. 2540 ซึ่งนําไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เมื่อเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้วจึงจําเป็นต้องก้าวต่อไป แม้อนาคตประชาธิปไตย ไทยยังไม่มีอะไรแน่นอน
สรุป
ตัวแบบของระบบการเมืองใหม่ในงานวิจัยนี้คงเป็นเพียงรัฐในอุดมคติ (Ideal State) มากกว่ารัฐในความเป็นจริง ( Practical State) ปัญหาที่เผชิญหน้าขณะนี้ คือ คนไทยจะก้าวไป ถึงรัฐในอุดมคติได้หรือไม่ ถ้าวัฒนธรรมทางการเมือง จิตสํานึกทางการเมือง ค่านิยมทาง การเมือง มีลักษณะแคบและจํากัด ต้องการแต่รัฐบาลอุปถัมภ์ (Patronage Government) และตราบใดถ้าคนไทยยังคิดแต่เพียงว่า ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้ง และเสียงส่วนใหญ่เราจะ ไปไหนไม่ได้จะติดอยู่กับความขัดแย้งไม่รู้จบ เพราะโดยความหมายของประชาธิปไตยยังมีมิติ อื่นๆ อีก คําถามนี้ ศาสตราจารย์ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ได้ถามไว้เช่นกันในวัฒนาการการเมืองการ ปกครองไทย ดังนี้
1. ราชาธิปไตย – รัฐกษัตริย์ ก่อน พ.ศ. 2475
2. อมาตยาธิปไตย – รัฐราชการ พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2516
3. อนาธิปไตย – รัฐธุรกิจ พ.ศ. 2516 – พ.ศ. 2554
4. ประชาธิปไตย – ประชารัฐ จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่
ที่มา:เอกสารประกอบการสัมมนาการเมืองการปกครองไทย 2555 : 80 ปี ประชาธิปไตยไทย จัดโดยสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทย อาทิ "ประชาธิปไตยไทย !!! อะไร อย่างไร และจะไปทางไหน?" โดย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนา ในวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2555 ตั้งแต่เวลา 8.30 - 16.00 น. ณ ห้องนนทรี โรงแรมทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
