การเลือกตั้งสะท้อนชัด “พฤติกรรม” แบ่งแยกขั้วการเมือง

ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า เปิดผลการศึกษา เรื่อง การเมืองเรื่องเลือกตั้ง และปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัคร โดยวิเคราะห์จากการเก็บข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 โดยแบ่งเป็นสามขั้น เริ่มจากภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จำนวนกว่า 1,500 คน นับเป็นการสุ่มตัวอย่างที่ทำให้ไดคำตอบที่สามารถอ้างอิงไปยังประชากรไดตามหลักสถิติ ซึ่งการเก็บข้อมูลดำเนินการช่วงวันที่ 1-15 มิถุนายน 2555
การศึกษาเรื่องการเลือกตั้งและปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัคร ทำให้ได้ศึกษาและค้นพบถึงพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนชาวไทย ในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่กำลังเปลี่ยนไป พรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการรณรงค์หาเสียงด้วยการชูนโยบายที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์มากขึ้น จนทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์แบ่งขั้วการเมืองที่เริ่มชัดขึ้นระหว่างพรรคการเมืองที่เคยเป็นรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน
จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ประชาชนกว่าครึ่ง รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งจากโทรทัศน์มากที่สุด ร้อยละ 58.4 รองลงมาคือจากกิจกรรมหาเสียง เช่นป้ายหาเสียง ร้อยละ 28.2 มีเพียงร้อยละ 2.4 ที่บอกว่ารับทราบจากวิทยุและร้อยละ 2.8 ที่บอกว่า รับทราบจากผู้นำชุมชน และแทบไม่มีเลยที่รับทราบจาก คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.
ในด้านความสนใจการเลือกตั้งที่จะมาถึง
พบว่าประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงค่อนข้างสูง คิดเป็นค่าคะแนน 7.97 จากคะแนนความสนใจเต็ม 10 โดยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความสนใจการเลือกตั้งมากที่สุด ค่าคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 8.39 รองลงมาคือ ภาคเหนือ 8.27 และภาคใต้ 7.8 สวนกทม. และภาคกลาง มีค่าคะแนนความสนใจต่ำที่สุด
ค่าคะแนนเฉลี่ยความสนใจต่อการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ที่จะมาถึง
การที่ประชาชนสามารถระบุชื่อผู้สมัครได้แสดงถึงความสนใจในการ เลือกตั้งอีกด้วย การศึกษาครั้งนี้ จึงมีการให้ประชาชนระบุผู้สมัครและพรรคการเมืองที่แข่งขันในพื้นที่ของตน และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถระบุชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ถึงร้อยละ 95.56 ซึ่งจัดว่าสูงมาก สูงกว่าภาคอื่นๆ และแสดงว่า สอดคล้องกับความสนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ขณะที่ประชาชนในภาคเหนือ สามารถระบุชื่อผู้สมัครได้น้อยที่สุด เช่นเดียวกับการระบุพรรคการเมือง ที่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงร้อยละ 96.84 สามารถระบุชื่อพรรคการเมืองได้
ร้อยละของประชาชนที่สามารถระบุชื่อผู้สมัครและพรรคการเมืองได้่
นอกจากนี้ความสามารถในการระบุชื่อผู้สมัครและพรรคที่สังกัดได้พบว่าประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงร้อยละ 94.48 สามารถระบุได้ว่าผู้สมัครนั้นสังกัดพรรคการเมืองได้และภาคเหนือเป็นภาคที่ระบุชื่อผู้สมัครและพรรคที่สังกัดได้น้อยที่สุด กล่าวคือ ไม่ถึงครึ่งของประชาชนที่ตอบแบบสอบถามสามารถให้ข้อมูลนี้ได้
ร้อยละของประชาชนที่สามารถระบุชื่อผู้สมัครและพรรคที่สังกัดได
ในส่วนการศึกษา ความตั้งใจจะเลือกผู้สมัคร
พบว่า 1 ใน 4 ของประชาชนใน กทม. จะไปเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ร้อยละ 42.96 ระบุว่าจะไปเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ส่วนประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 68.38 ระบุชัดเจนว่าจะเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ส่วนประชาชนภาคใต้ร้อยละ 84.13 จะเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ประชาชนภาคเหนือและภาคกลาง 1 ใน 3 จะเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
ร้อยละของประชาชนที่จะไปลงคะแนนเลือกผู้แทนระบบเขตจากพรรคการเมืองใด
ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร
พบว่า เรื่องชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์เป็นประเด็นสำคัญที่สุด จากคะแนนเต็ม 4 ได้คะแนนการพิจารณาให้มีความสำคัญที่ 3.48 รองลงมาคือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาชุมชน 3.42 วิสัยทัศน์ 3.40 ทำประโยชน์ให้ชุมชน 3.38 และประเด็นการให้ของกำนัล มีค่าคะแนนเฉลี่ยของความสำคัญต่ำสุดที่ 1.84
ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร
ปัจจัยสำคัญในการเลือกพรรคการเมือง
ประชาชนให้ความสำคัญกับกับนโยบายพรรคการเมืองที่ใช้หาเสียงมากที่สุด คือที่ 3.40 จากคะแนนเต็ม 4 รองลงมาคือผู้นำพรรค 3.25 ความสำเร็จของพรรค 3.22 ผลงานในอดีต 3.01 ส่วนอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน (สีเดียวกัน) มีความสำคัญ ที่คะแนน 2.5 ซึ่งต่ำสุด แต่ก็มีความสำคัญ
ปัจจัยสำคัญในการเลือกพรรคการเมือง
ทำไมประชาชนส่วนมากจึงเลือกเพื่อไทย
ศึกษา พบว่า มี 2 กลุ่ม คือ นโยบายและอุดมการณ์ ปัจจัยด้านนโยบาย เช่น การให้เงินเดือน15,000 บาท แก่ผู้จบปริญญาตรี ค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน และปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม เช่นรายได้ อายุ เพศ การไม่พอใจผลงานของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถอธิบายการเลือกพรรคเพื่อไทยได้ร้อยละ 33.3 โดยผู้มีระดับการศึกษาสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคอื่น และผู้มีการศึกษาต่ำกว่า จะเลือกเพื่อไทย
สรุปผลการศึกษา
จากการศึกษาดังกล่าว สรุปผลได้ว่า ประชาชนสนใจที่สถานะหรือจุดยืน ของผู้สมัครในประเด็นต่างๆ รวมบุคลิกภาพของผู้สมัคร การรณรงค์หาเสียง การให้ความสนใจในเรื่องนี้ ความเข้าใจในประเด็นการหาเสียงล้วนมีอิทธิพลต่อการเลือกผู้สมัคร
นอกจากนี้ยังพบว่า ว่าประเด็นทางสังคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ในการไปเลือกตั้ง ทั้งนี้ สิ่งที่พรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียงที่เน้นประเด็นทางสังคมต่างๆ ก็มีผลต่อการกำกับบรรทัดฐานของสังคม ตลอดจนการคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับและสามารถอธิบายความแตกต่างเชิงเศรษฐกิจและสังคมหรือระหว่างชนชั้นที่กำลังปรากฏขึ้น นั่นคือ ประชาชนที่มีการศึกษาน้อยกว่า จะเลือกพรรคเพื่อไทยมากกว่า และมีความแตกต่างกันตามภาคอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับประเด็นทางสังคม คือ การชูนโยบายในการหาเสียงที่นำมาสู่การตัดสินใจ และการสื่อสารทางการเมืองที่ประชาชนที่รับสื่อจากพรรคมากจะมีแนวโน้มในการเลือกพรรคนั้น อีกทั้งพบว่า ความไม่พอใจผลงานของรัฐบาลก่อน ทำให้ประชาชนพากันเทคะแนนให้กับพรรคที่คาดว่าจะทำงานได้ดีว่า และสามารถนำนโยบายไปปฏิบัติได้อย่างเป็นผล และพวกเขาได้รับผลประโยชน์ซึ่งเป็นการตัดสินใจบนหลักเหตุผล อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ยังไม่ชัดในเรื่องชนบทและเมืองนัก นอกจากภาคและฐานะทางการศึกษา ซึ่งต้องมีการศึกษาต่อไป
ที่มา : เอกสารประกอบการสัมมนาการเมืองการปกครองไทย 2555 : 80 ปี ประชาธิปไตยไทย จัดโดยสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทย อาทิ "ประชาธิปไตยไทย !!! อะไร อย่างไร และจะไปทางไหน?" โดย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นในวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2555 ตั้งแต่เวลา 8.30 - 16.00 น. ณ ห้องนนทรี โรงแรมทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
