'ธีระชัย' หวันเป็นโมฆะ ย้ำ 'บิ๊กตู่' ควรให้ศาลฯพิจารณาสถานะตัวเองเป็นการด่วน
"ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" หวั่นสถานะ "ประยุทธ์" เข้าข่ายต้องห้ามตามรธน. ส่งผลให้การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีต่อไปถูกฟ้องว่าเป็นโมฆะได้ และอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ย้ำ ควรสั่งการเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของท่านนายกฯเป็นการด่วนที่สุด แนะระหว่างนี้ต้องระมัดระวังการอนุมัติเรื่องต่างๆ ผู้เสียประโยชน์อาจใช้เป็นประเด็นมาต่อสู้กับรัฐในอนาคต
วันนี้(17ก.พ.) เมื่อเวลา 01.52 น. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก "Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" เรื่อง “ขอแนะนำให้รัฐมนตรีเรียกร้องให้มีการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ” ว่า
รัฐมนตรีอาจจะเข้าใจว่าการกระทำในรูปของคณะรัฐมนตรีจะมีความปลอดภัยเสมอ เพราะมีข้าราชการประจำระดับสูงเข้าร่วมประชุมด้วย ที่สำคัญได้แก่เลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา
ซึ่งการใดที่ผ่านการพิจารณาของ ครม.แล้ว ก็ต้องถือว่ามีการดูเรื่องอย่างรอบคอบแล้ว
แต่ผมมีข้อสังเกตแก่รัฐมนตรี 2 ข้อ
ข้อที่หนึ่ง
จากข่าวป.ป.ช.จ่อฟันปม'ครม.ปู'จ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุมการเมืองมิชอบ 1.9 พันล. เมื่อเดือน พ.ค. 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีรวม 34 ราย กรณีอนุมัติและจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2548-2553โดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ
ทาง ป.ป.ช. เห็นว่า มีการออกหลักเกณฑ์และอัตราเยียวยาขึ้นใหม่ แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีกฏหมายใดมารองรับการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าว
(ผมไม่อยู่ในรายชื่อคณะรัฐมนตรี 34 รายดังกล่าว เนื่องจากพ้นตำแหน่งไปก่อน)
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า รัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องพิจารณาข้อกฎหมายเอง มิใช่อาศัยแต่เลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาโดยลำพัง
ข้อที่สอง
สำหรับเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามยินยอมเป็นแคนดิเดทนายกฯ ให้แก่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจจะเข้าลักษณะต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกรณีถ้าหากเข้าลักษณะดังกล่าว ก็จะทำให้การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีต่อไปถูกฟ้องว่าเป็นโมฆะได้
รวมทั้งอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้อีกด้วยนั้น
เนื่องจากเป็นข้อถกเถียงในเรื่องของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาหรือกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่เป็นผู้ที่มีอำนาจหรือหน้าที่จะชี้ขาด
ผู้ที่มีอำนาจคือศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ดังนั้น ผมจึงขอย้ำคำแนะนำที่ให้ท่านนายกฯสั่งการเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของท่านนายกฯเป็นการด่วนที่สุด
นอกเหนือจากการประชุม ครม. แล้ว ผมขอแนะนำอีกด้วยว่า ระหว่างนี้ต้องระมัดระวังการอนุมัติเรื่องต่างๆ ภายในกระทรวงของท่านอย่างมาก เพราะกรณีที่มีผู้ใดเสียประโยชน์ ไม่ว่ารายที่ถูกใช้ดุลพินิจจัดอันดับให้เป็นรอง หรือรายที่ถูกตัดสิทธิในการเข้าแข่งขัน เมื่อสบช่องก็ย่อมจะหาทางสู้ จึงอาจจะรวมถึงการใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้กับรัฐในอนาคตด้วย
หมายเหตุ: การกล่าวถึงชื่อบุคคลใดมิใช่เป็นการกล่าวหากระทำความผิด แต่เป็นเพื่อประกอบการบรรยายทางวิชาการเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
อนึ่งก่อนหน้า นายธีระชัย โพสต์ว่าตามที่ผมมีจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 12 ก.พ. ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีที่ท่านลงนามยินยอมเป็นแคนดิเดทนายกฯ ให้แก่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจจะเข้าลักษณะต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (6) ประกอบมาตรา 98 (12) และ (15) เพราะอาจถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ นั้น
ในเรื่องนี้รัฐธรรมนูญยกเว้นสำหรับการที่พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ซึ่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 กำหนดไว้เฉพาะเพียง 20 ตำแหน่ง
แต่สำหรับการที่พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งหัวหน้า คสช. และตำแหน่งอื่นๆ นั้น น่าจะเข้าลักษณะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งตามที่ระบุในกฎหมายเกี่ยวกับศาลปกครอง มาตรา 3 (2) ซึ่งบัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐหมายความว่า คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท คณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใดๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล รวมทั้งน่าจะเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยมีด้วย
วันที่ 15 ก.พ. พรรคเพื่อไทยได้ยื่น กกต. ขอให้พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยส่วนหนึ่งระบุประเด็นคล้ายกันว่า
ก่อนและหลังการประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รับเงินเดือน และยังมีตำแหน่งกรรมบริหารในหลายองค์กร ซึ่งมีค่าตอบแทนจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 14 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ผมให้ความสำคัญแก่ประเด็นนี้มาก เพราะกรณีถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์ปฏิบัติฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ทุกเรื่องที่ท่านดำเนินการต่อไป อาจจะถูกร้องเรียนได้ว่าเป็นโมฆะ ซึ่งจะก่อความเสียหายด้านฐานะการคลังของประเทศได้อย่างหนัก
และเนื่องจากกรณีเข้าข่ายดังกล่าว ก็จะต้องถือว่าพล.อ.ประยุทธ์รับรู้มาตั้งแต่วันที่ลงนามในหนังสือยินยอม จึงจะทำให้ทั้งตัวท่านเองและรัฐมนตรีทั้งคณะอาจจะตกอยู่ในสถานะมีความรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาตั้งแต่นี้เป็นต้นไปด้วย ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นคณะบุคคล
ผมจึงขอแนะนำให้ท่านสั่งการเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของท่านด่วนที่สุด
ขอขอบคุณข่าวจาก : https://mgronline.com/politics/detail/9620000016644

