จำคุก "พ.ต.อ." ร่วมกันยักยอกที่ดิน
ศาลแขวงสงขลา มีคำพิพากษา จำคุกอดีตภรรยานักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หาดใหญ่ ร่วมกับ พ.ต.อ. ข้อหาร่วมกันยักยอกที่ดินสินสมรส มูลค่า 3 ล้านบาท โดยจำคุก "พ.ต.อ." 1 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนอดีตภรรยาของนักธุรกิจ จำคุก 2 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท และให้รอลงอาญา 1 ปี
คดีนี้นายพินิจรุจิรวนิชนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ยื่นฟ้องนางสาวฉัตรแก้ว ธนินทรานนท์ อดีตภรรยา เป็นจำเลยที่ 1 และยื่นฟ้อง พ.ต.อ.สุรพงษ์ กิตติธิรางกูรเป็นจำเลยที่ 4 ใรข้อหายักยอกที่ดินสินสมรส มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2560
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ศาลแขวงสงขลา อ่านคำพิพากษาในคดีที่ นายพินิจ รุจิรวนิช ยื่นฟ้องนางสาวนางสาวฉัตรแก้วอดีตภริยา ในความผิดยักยอกทรัพย์และให้การเท็จต่อพนักงานที่ดิน โดยให้จำคุก 2เดือนปรับ 20,000 บาท และสั่งจำคุกจำเลยที่ 4 พ.ต.อ.สุรพงษ์เป็นเวลา 1เดือน โดยไม่รอลงอาญา ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์
คดีนี้ นายพินิจ ฟ้องศาล กล่าวหาบุคคลทั้ง2ร่วมกันยักยอกที่ดิน ตั้งอยู่ในอ.หาดใหญ่ และอ.บางกล่ำ ซึ่งเป็นที่ดินที่นักธุรกิจคนนี้ไปซื้อร่วมกันกับนางสาวฉัตรแก้ว ขณะที่ยังจดทะเบียนสมรส เมื่อปี 2558 และใช้ชื่อนางสาวฉัตรแก้ว ภรรยา เป็นผู้ครอบครองที่ดินเพียงคนเดียว หลังจากนั้นทั้งคู่จดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เพราะปัญหาภายในครอบครัว โดยนายพินิจอ้างว่า เดือนพฤศจิกายน ก่อนจะไปจดทะเบียนหย่าเพียงหนึ่งเดือน นางสาวฉัตรแก้ว นำที่ดินที่ซื้อร่วมกันในช่วงที่จดทะเบียนสมรส โอนไปเป็นชื่อของ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ที่สำนักงานที่ดินในลักษณะทำสัญญาซื้อขายกัน และบางส่วนอ้างว่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อชดใช้หนี้เงินกู้ที่นางสาวฉัตรแก้ว กู้ยืมมาจาก พ.ต.อ.สุรพงษ์
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของนางสาวฉัตรแก้ว และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ได้กระทำผิดร่วมกันฐานยักยอกที่ดินสินสมรส และให้การเท็จต่อพนักงานที่ดิน หลังจากที่นางสาวฉัตรแก้ว แจ้งกับเจ้าพนักงานที่ดิน ขณะไปทำนิติกรรมว่า สถานะตัวเองยังโสด ทั้งที่จดทะเบียนสมรสแล้ว ศาลจึงพิพากษาจำคุก นางสาวฉัตรแก้ว จำเลยที่ 1ฐานความผิดร่วมกันยักยอกทรัพย์เป็นเวลา 1 เดือน ความผิดฐานจะและแจ้งข้อความเท็จ 1เดือน รวมสองกระทงจำคุกเป็นเวลา 2เดือนปรับกระทงละ 10,000 บาทแต่เนื่องจากจำเลยที่ 1ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงให้รอลงอาญา 1ปีส่วนพ.ต.อ.สุรพงษ์ ศาลสั่งจำคุก 1เดือนฐานความผิดร่วมกันยักยอกทรัพย์โดยไม่รอลงอาญา
คดีที่ศาลมีคำพิพากษาแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับ การที่ ร.ต.อ.วัชรินทร์ เบญจทศวรรษ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ที่หน้าบ้านพักเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่โจทก์ในคดีนี้ คือนายพินิจ เป็น 1 ในพยานที่ตำรวจ กองกำกับการตำรวจภูธรสงขลา เรียกเข้าให้ปากคำเมื่อวันที่ 27 มีนาคม เพื่อหาสาเหตุการตาย เนื่องจาก ร.ต.อ.วัชรินทร์ เข้าไปช่วยคดีที่นายพินิจ ถูกตำรวจ สภ.สงขลา อุ้มจากหน้าศาลไปกักขังหน่วงเหนี่ยวที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่งนาน 3 ชั่วโมง พร้อมพูดจาข่มขู่จะอุ้มไปส่งพ.ต.อ.คู่กรณีที่เป็นชู้กับภรรยานายพินิจและนอกจากกักขังหน่วงเหนี่ยวยังถูกทำร้ายร่างกายด้วย
สำหรับคดีที่นายพินิจ ถูกทำร้ายร่ายกาย อยู่ระหว่างการร่างคำฟ้องฟ้องตำรวจ สภ.สงขลา 11 คน ต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ แต่ ร.ต.อ.วัชรินทร์ มาถูกยิงตายก่อน
และนอกจากนั้น การที่ร.ต.อ.วัชรินทร์ เข้ามาช่วยนายพินิจ และไลพ์สดถึงคดีชู้ 100 ล้าน บ่อยครั้ง ทำให้มีคนไม่พอใจถึงขั้นขู่อาฆาต ซึ่งมีคนเคยได้ยินคำพูดเหล่านั้น
นอกจากนั้น แหล่งข่าวเปิดเผยว่า วานนี้ นายพินิจ ได้คัดคำพิพากษาศาลแขวงจังหวัดสงขลา ไปมอบให้กับผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 เพื่อพิจารณาลงโทษ พ.ต.อ.สุรพงษ์ หลังจากต้องโทษในคดีอาญา และต่อมาทราบว่า พ.ต.อ.สุรพงษ์ ได้ประกันตัวออกมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
ที่มา : http://www.nationtv.tv/main/content/378701090/

