อะไร.. อยู่ใน “จอดำ” : กีฬา-สัญญา-ลิขสิทธิ์ และเรื่องใต้พรมคนทีวี?
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลา 09.30 น. ที่โรงแรมเซ็นจูรีปาร์ค สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดการเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “โอลิมปิกและบอลโลก: ทางออกเพื่อผู้บริโภคไม่ต้องชมจอดำ” ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจ
ทั้งแนวโน้มการถ่ายทอดสดกีฬานานาชาติในอนาคต จะมีเหตุการณ์ “จอดำ” อีกหรือไม่?
สมดุลระหว่างการ “รักษาผลประโยชน์“ ของผู้ถือลิขสิทธิ์กับของสาธารณะ ควรจะเป็นอย่างไร?
และปัญหาอะไร ที่คนทีวีต่างรู้ๆ กันอยู่ แต่ถูก "ซุก" ไว้ใต้พรม มาตลอด 20 ปี?
โดยผู้เข้าร่วมเสวนามีทั้งตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ อาิทิ กสทช. ตัวแทนภาคเอกชน ทั้งฟรีทีวีช่อง 3, 5, 7, 9, Truevision, RS ตัวแทนเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม อาทิ PSI, DTV ตัวแทนผู้บริโภค รวมถึงสื่อมวลชน รวมแล้วกว่า 50 คน
แต่สำหรับตัวละครสำคัญ ได้แก่ 1.น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) 2.นางนุสรา กาญจนกูล หัวหน้าส่วนคุ้มครองงานลิขสิทธิ์ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา 3.นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาการค้าและลิขสิทธิ์รายการม 4.นายวิชิต เอื้ออารีวรกุล อุปนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย และ 5.น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นผู้ดำเนินรายการ
เริ่มต้น.....
กรรณิการ์: ฟุตบอลโลกปี ค.ศ.2010/พ.ศ.2553 มีจอดำช่วงหนึ่งจริง แต่หลังจากนั้นอาร์เอสก็ให้รหัส ทำให้ท้ายสุดดูผ่านฟรีทีวีได้ทุกช่อง แล้วอาร์เอสก็ไม่ได้คิดสตางค์ จึงอยากรู้ว่าโอลิมปิก ปี ค.ศ.2012/พ.ศ.2555 กับฟุตบอลโลก ปี ค.ศ.2014/พ.ศ.2557 จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
ตัวแทนช่อง 3: จริงๆ ช่อง 3, 5, 7 และ 9 รวมตัวกันเป็นสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือทีวีพูล เพิ่งประชุมไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่พล.ท.สบโชค ศรีสาคร เลขานุการบริหารทีวีพูลไม่ได้มาเนื่องจากติดภารกิจ ทีวีพูลซื้อลิขสิทธิ์จากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (OIC) ผ่านสหภาพการกระจายเสียงวิทยุและโทรทัศน์แห่งเอเชียแปซิฟิค (ABU) ในการถ่ายทอดโอลิมปิก แบบ Free-to-air ทำให้การถ่ายทอดทำได้เฉพาะฟรีทีวี ไม่รวมถึงเคเบิลทีวี ดังนั้นทาง พล.ท.สบโชคจะประสานไปยัง OIC เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาให้คนไทยได้ดูการแข่งขันโอลิมปิก ระหว่างวันที่ 27 ก.ค.-12 ส.ค.นี้ มากที่สุด
กรรณิการ์: แบบนี้สภาพจะคล้ายกับบอลยูโรที่ผ่านมา ทีวีพูลได้เห็นสัญญาที่ทำกับ IOC หรือเปล่าค่ะ เพราะอย่างกรณีที่มีผู้ฟ้อง Grammy ก็ตีความคำว่า Free ต่างกัน
ตัวแทนช่อง 3: ถ้าจะดูรายละเอียดสัญญาต้องถามเลขาฯทีวีพูล แต่เท่าที่คุยกันโอลิมปิกเป็น multi events ต่างกับบอลยูโรฯ ที่เป็น single event เพราะจะมีกีฬาเกิดขึ้นเยอะมาก และจะมีการถ่ายทอดผ่านช่อง 11 ถึงวันละ 12 ชั่วโมง ขณะที่ Truevision ถึง 7-8 ช่อง ที่สำคัญแต่ละประเทศก็มีการถ่ายทอด โดยเลือกชนิดกีฬาที่คนในประเทศนั้นๆ สนใจ ดังนั้น ทาง OIC จึงไม่ห่วงเรื่องสัญญาณล้น (spill over) จึงเชื่อว่าทีวีพูลจะไปคุยกับ IOC ในเรื่องนี้ได้
กรรณิการ์: ทำไมช่อง 11 ถ่ายทอดได้ ถ้าช่อง 11 ถ่ายได้ แปลว่าจะไม่มีการบล็อกสัญญาณ?
ตัวแทนช่อง 5: ไทยเป็นสมาชิก ABU 2 กลุ่ม คือช่อง 3, 5, 7, และ 9 กับช่อง 11 ที่ประสานไปในฐานะโทรทัศน์แห่งชาติด้วย เวลาซื้อก็ต้องจ่ายเงินแยกกัน
กรรณิการ์: จะมีโอกาสขึ้นจอดำหรือคำขอโทษหากยังไม่สามารถเจรจากับ IOC สำเร็จหรือเปล่าค่ะ
ตัวแทนช่อง 5: แม้ลิขสิทธิ์ที่เราได้มาเป็นเฉพาะ Free-to-air แต่กับโอลิมปิกไม่น่าห่วง เพราะประสานงานกันมานานมาก ส่วนตัวจึงคิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องจอดำ
กรรณิการ์: อยากถามทาง RS ที่เคยมีประสบการณ์ ซึ่งท้ายสุดปล่อยรหัสให้เคเบิลทีวีถ่ายทอดสดบอลโลกปี ค.ศ.2010 ได้
ตัวแทน RS: ย้อนไปฟุตบอลโลกปี ค.ศ.2010 ที่มีเฉพาะช่องแรกเป็นจอดำ เพราะวันแรกที่เปิดทัวร์นาเม้นต์มีการยิงสัญญาณโดยไม่มีปิดเลย แต่บังเอิญเพื่อนบ้านรับได้ด้วย ผู้ประกอบการของเขาที่ขายลิขสิทธ์ จึงแจ้งไปยังสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ทำให้ FIFA แจ้งมายังเราให้ล็อค ท้ายสุดก็ต้องล็อค ถ้าพูดถึงสัญญากับ RS กับ FIFA มีหลักเกณฑ์ง่ายๆ คือให้ถ่ายทอดฟรีทีวีได้ แต่ขอให้ควบคุมอยู่ในไทยเท่านั้น ดังนั้น ฟุตบอลโลก ปี ค.ศ.2014 จะไม่มีจอดำผ่านฟรีทีวี แต่ต้องเรียกฟรีทีวีหรือทีวีเป็น partner (หุ้นส่วน) มาคุยกัน แล้ว RS จะบอกรหัสที่ใช้ได้เฉพาะทีวีในเมืองไทย
กรรณิการ์: ทาง RS ไม่กลัวแบบบางเจ้า เดี๋ยวจะ spill over ทำให้มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ แล้วใครจะรับผิดชอบ
ตัวแทน RS: เราต้องกลั่นกรอง partner ที่ขายไปต่างประเทศ ซึ่ง partner ที่มีกล่องซึ่งใส่รหัสไม่ได้ อาจจะเหลือไม่มากแล้ว
สุภิญญา: ฟังดูได้ข้อสรุปว่าฟุตบอลโลกปี ค.ศ.2014 จะไม่จอดำ แต่โอลิมปิกปี ค.ศ.2012 ล่ะคะ ได้ฟังแล้วก็ panic (ตระหนก) ลูกค้า TRUE กับเคเบิลทีวีอื่นรับได้หรือไม่ เพราะถ้าคนดูไม่ได้อีก ก็จะมีปัญหามาก
ตัวแทนช่อง 3: การให้สัญญาณโดยไม่คุยเลยอาจจะเป็นการละเมิด ดังนั้นทีวีพูลโดย พล.ท.สบโชค ศรีสาคร จึงต้องไปเจรจากับ IOC ก่อน
สุภิญญา: จะได้คำตอบเมื่อไร เพราะกรณีนี้ทีวีพูลไปซื้อมา จะต่างจากกรณี RS หรือ Grammy หรือไม่ ส่วนตัวเกรงว่าจะเปิดปัญหาซ้ำรอยเดิม เพราะในการประชุมกสทช.วันที่ 9 ก.ค.จะมีการออกระเบียบกสทช.เรื่อง must-carry rules (การออกกฎว่าถ้าออกอากาศทางฟรีทีวีต้องดูได้ทุกช่องทาง)
วิชิต: เท่าที่ฟังโอลิมปิกน่าจะมีบทสรุปเหมือนบอลยูโร เพราะถึงแม้ทีวีพูลจะขอ IOC แต่ไม่น่าจะกันให้สัญญาณ spill over ออกไปได้ จึงเชื่อว่า OIC จะให้เข้ารหัสแล้วคนที่ใช้จานดำจะดูโอลิมปิกผ่านฟรีทีวีไม่ได้
กรรณิการ์: อยากให้ทีวีพูลไปคุยกัลเคเบิลทีวีเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยนะคะ
กรรณิการ์: ไปคุยกับนักกฎหมายบ้าง เพราะมีรายงานจากต่างประเทศว่า กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยเป็นการขัดขวางการเข้าถึงความรู้มากที่สุดประเทศหนึ่ง
นุสรา: จริงๆ ตัวกีฬาไม่เป็นลิขสิทธิ์ แต่พอมีการถ่ายทอด ถือเป็นลิขสิทธิ์ทันที ในการแพร่เสียง แพร่ภาพ ถามว่าเจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ์อะไรบ้าง ในกรณีนี้เป็นการอนุญาตซึ่งกฎหมายบอกว่าอนุญาตได้ จะมีเงื่อนไขอะไรไว้บ้าง ซึ่งมีเงื่อนไขติ่งไว้ว่า ต้องไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งก็มีการออกเป็นกฎกระทรวงพาณิชย์มาว่า แบบไหนคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อาทิ ถ้ากำหนดให้ซื้อสินค้าชนิดหนึ่งต้องพ่วงอีกชนิด แบบนั้นเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่การถ่ายทอดกีฬา น่าจะเหมือนกับนิยายหรือเพลง ที่เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถให้ได้ตามสมควร เพราะทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการให้อำนาจแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นกลไกกม.ในแต่ละประเทศจะต้องหาวิธี Balance (สมดุล) ระหว่างสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์กับประโยชน์ของสาธารณชน กลไกง่ายๆ คือ 1.มีอายุการคุ้มครอง ไม่ได้คุ้มครองตลอดไป 2.มีเงื่อนไขข้อยกเว้น อาทิ ใช้เพื่อการศึกษาได้
กรรณิการ์: มี 2 คำถามอยากถามและแลกเปลี่ยน 1.ที่ยกเรื่องงานวรรณกรรม การเลือกไปออกช่องต่างๆ เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ overrule (ลบล้าง) เรื่องอื่นๆ ได้หรือไม่ เช่น Grammy ไปบอกนิยามเรื่องฟรีทีวีกับสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) อีกแบบหนึ่ง ทั้งที่จริงๆ ฟรีทีวีคนไทยควรจะได้ดูทุกคน 2.เรื่องข้อยกเว้นใช้ในกรณีเพื่อการศึกษา เคยมีคำตัดสินของศาลว่า ถ้าถ่ายซีร็อกซ์เอกสารเฉพาะตัว ทำได้ แต่ถ้าร้านซีร็อกซ์ถ่ายไปขาย อันนี้ผิด
นุสรา: เราอาจจะใช้กฎหมายฉบับเดียวไม่ได้ ในขณะที่จะต้องคุ้มครองเจ้าของลิขสิทธิ์ระดับหนึ่ง แล้วหาสมดุลกับผลประโยชน์ของสาธารณชน ดังนั้นเราต้องไปดูว่ามีกลไกอื่นของรัฐในการสร้างสมดุล 2 เรื่องนี้หรือไม่ ทั้งนี้ในกรมคุ้มครองสิทธิ์ได้คุยกัน แล้วหารือกันว่าอาจจะจัดงานเสวนา เพื่อหามาตรฐานในประเทศไทยขึ้นมา
กรรณิการ์: ดิฉันเคยทำเรื่องการเข้าถึงยา สามารถใช้มาตรการการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (compulsory licensing หรือ CL) กับยาบางชนิดได้ แต่ไม่แน่ใจลิขสิทธิ์ทำได้หรือไม่ ถ้ามีตัวอย่างในต่างประเทศอยากให้เล่าให้ฟังด้วย
นุสรา: ในต่างประเทศจะมีกรณี CL สิทธิบัตร โดยต้องคิดค่าชดเชยในอัตราที่ไม่สูงไป อย่างในสิงคโปร์ มีที่กฎหมาย ที่ระบุว่าคนที่ได้ลิขสิทธิ์มาผู้เดียว จะต้องกระจายเนื้อหาให้ผู้อื่นด้วย โดยอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
กรรณิการ์: ในกรณีสิทธิบัตร มีกรณี CL ในสิทธิบัตรเลย แต่กรณีลิขสิทธิ์มี CL เหมือนกันหรือไม่
นุสรา: กรณีลิขสิทธิ์มีกรณี CL เหมือนกัน เช่นการแปลวรรณกรรม แต่ก็มีเงื่อนไข เช่น ใช้ในการศึกษา แล้วต้องมาขออนุญาต พร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่เป็นธรรม
ไพบูลย์: จากประสบกรณ์ ในฐานะที่เคยตรวจแก้สัญญากับทาง FIFA และ UEFA ที่ผมประหลาดใจ คือกรณีที่เกิดขึ้น และกำลังคุยกันอยู่ เพราะ 1.ตามปกติ FIFA กับ UEFA จะให้มาเป็นสัญญามาตรฐาน คือสัญญาแบบ all rights แปลว่าในไทยทั้งหมด สิทธิในการออกไม่ว่าฟรีทีวีหรือเคเบิลทีวี เป็นของผู้ที่ขอเพียงผู้เดียว ดังนั้นเวลาทำผิด จะมี 3 อย่างคือ ทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ ดังนั้น เมื่อบริษัท x ได้มา ร้อยละร้อย ไม่มีทางให้เคเบิลทีวีใช้ได้ แต่กรณี RS ได้มาน่าจะเหมือนกัน ก็ออกฟรีทีวีได้ ทำไมที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเลย ดังนั้น เวลา PSI จะดึง ก็เป็นเรื่อง PSI ไม่เกี่ยวกับผู้ที่ไปรับมา 2.ผมคิดว่าพวกเราเข้าใจผิดเรื่อง sublicense มันหมายถึงอนญาตใช้สิทธิช่วง คือเวลา Grammy หรือ RS ได้มาแล้วแบ่งให้บริษัท x หรือ y จัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอ FIFA หรือ UEFA แต่กรณี pass through (ปล่อยสัญญาณให้ถ่ายทอด) ทั่วไปไม่เป็น sublicense แปลว่า เวลาได้รับสิทธิมา ไม่ว่าทีวีพูล Grammy RS ทำได้หมดเลย ไม่ต้องไปขออีก และที่ผ่านมา UEFA กับ FIFA จะไม่ให้สัญญาเฉพาะส่วน เพราะมันยากในการบริหารจัดการ เรื่องปัญหาสัญญาณล้ม ก็จะเขียนว่าให้ผู้รับสิขสิทธิ์มาต้องหาทางป้องกันไม่ให้ล้นไปในที่อื่น ส่วนกรณีที่มีการเข้ารหัส ทำไว้เผื่อป้องกันกรณีถูกฟ้อง จะได้อ้างว่าป้องกันเต็มที่แล้ว กรณีโอลิมปิก ผมก็เชื่อว่าทีวีพูลทำได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่อาจจะต้องใส่รหัสเสียหน่อย ซึ่งปกติ UEFA กับ FIFA จะไม่มายุ่ง หากไม่ถูกร้องเรียน
สมมุติสิ่งที่ผมพูดไม่เป็นจริง จะ pass throught ไปยัง Truevision หรือ PSI ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญาอะไรเลย เพราะมันเป็นแค่การ rebroadcast (ถ่ายทอดซ้ำ) ที่อ้างว่า sublicense จึงเป็นจริง เพราะผมไม่เคยเห็นลักษณะแบบนี้ในกฎหมายทั่วโลกเลย แต่สมมุติมีกรณีจอดำ กรมทรัพย์สินทางปัญญาช่วยได้ ด้วยการให้รมว.กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศว่าอะไรบ้างคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เช่นมีบริษัท x ออกสัญญาแล้วจำกัดการแข่งขันในเชิงลิขสิทธิ์ให้ถือว่ามีความผิด นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการลิขสิทธิ์ที่มีอำนาจกว้างมาก ดังนั้นถ้าเราเห็นว่ามีปัญหาจริงๆ รมว.พาณิชย์กับอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะช่วยได้ อีกเรื่อง must-carry rules ในประเทศอื่นก็มีใช้กัน แต่ต้องแก้กฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะถ้ากฎหมายมันขัดกัน 2 ฉบับ หลักเกณฑ์ของสหภาพยุโปร (EU) ลิขสิทธิ์มัน overrule หมดเลย เพราะเป็นนิเสธสิทธิที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นถ้าจะใช้ must-carry rules จะต้องมีการออกกฎหมายมาเพิ่มเติม ส่วน CL ถ้าจะใช้ต้องมีหลักเกณฑ์ อย่างกรณี CL สิทธิบัตรยา เพราะในกฎหมายมีระบุไว้ว่า ใช้ CL กับยาเอดส์ ยามะเร็งได้
กรรณิการ์: Grammy ยืนยันมาตลอดว่าเขาได้ All Rights สิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามมคือที่บอกว่า ให้ฟรีทีวีถ่ายได้เฉพาะหนวดกุ้ง ใครบอกกันแน่ เพราะเวลาศาลปกครองถาม Grammy ก็อ้างว่าอยู่ในสัญญาที่ไม่ได้ยื่นต่อศาลปกครอง ไม่สามารถให้ดูไม่ได้ ถึงวันนี้แม้ศาลปกครองจะไม่รับไต่สวนคำร้องฉุกเฉินให้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่คดีหลักยังอยู่จึงต้องติดตามต่อไป
นุสรา: ที่พูดถึง CL อยากฝาก อะไรที่เราจะทำ เราเป็นพันธะกรณีกับต่างประเทศ เพราะไม่เคยเห็นกรณี CL ในกรณีเช่นนี้ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ถ้าทำไป อาจจะเสียหายต่อเกียรติภูมิประเทศและการค้าซึ่งอาจมีการ Sanction (คว่ำบาตร)
จากนั้นเป็นช่วงถาม-ตอบ ที่เกิดบรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที เมื่อ.....
ตัวแทนช่อง 7: อยากถามทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทางสถานีช่อง 7 ไม่เคยให้เคเบิลทีวีถ่ายทอดรายการของช่อง 7 เลย บทลงโทษกรณีละเมิดลิขสิทธิ์มีอะไรบ้าง?
นุสรา: การละเมิดลิขสิทธิ์ตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มีทั้งกรณีใช้และไม่ใช้ในการค้า ถ้าใช้เพื่อการค้า มีระวางโทษจำคุก 6 เดือนถึง 4 ปี ปรับ 1-8 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า มีโทษปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรรณิการ์: ทางเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม ดำเนินการมากว่า 20 ปีแล้ว เหตุใดจึงไม่ดำเนินการอะไรเลย
ตัวแทนช่อง 7: เคยมีการขอใบอนุญาตไป 1-2 ปี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ขอ
ตัวแทนเคเบิลทีวี: เรื่องแบบนี้สมประโยชน์หรือเปล่า ฟรีทีวีก็มีคนดูมากขึ้น ขายโฆษณาได้มากขึ้น แล้วประชาชนได้ปประโยชน์ แต่พอมีมุมขัดแย้งเกิดขึ้น ประชาชนก็กลายมาเป็นตัวประกัน
สุภิญญา: ถ้าต่อไปเคเบิลทีวีแบน ฟรีทีวีจะอยู่ได้หรือไม่ เพราะเคเบิลทีวีมีโอกาสเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราอยู่ในขั้นนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะโทษกันไปมา ต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าเอกชนตกลงกันไม่ได้ รัฐก็ต้องออกกฎเข้มมาบังคับ ดิฉันเอง ก็ไม่อยากให้นำกฎหมายมาจี้
.....ระหว่างนั้น ทั้งห้องเงียบกริบ.....
วิชิต: ประเด็นที่ตัวแทนช่อง 7 ถาม เรายอมรับว่าผิด แต่จริงๆ ช่อง 3 และช่อง 7 ไม่เคยออกใบอนุญาตให้ใครเลย ดังนั้นแปลว่าเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม กระทั่ง TRUE ไม่มีใครได้ใบอนุญาตเลย แปลว่าช่อง 7 ต้องจอดำทั้งหมด เราจะเอาแบบนั้นกันจริงๆ ใช่ไหม
ตัวแทนช่อง 9: การนำเนื้อหาในช่อง 3, 5, 7, 9 ไปออกใน platform (ช่องทาง) อื่น จริงๆ ปัญหามีมานาน แต่ไม่ได้เคลียร์กันชัดเจน กรณีจอดำที่ผ่านมา ไม่ใช่ถอดรหัสไม่ได้ แต่เขาไม่เสี่ยงจะออก ไม่ใช่เรื่องตัวช่องจะทำอะไร เพราะทำกันมาตั้งนานแล้ว ช่อง 9 ก็คงไม่ฟ้อง สิ่งที่เราต้องเคลียร์คือเรื่อง pass through กับ rebroadcast ทำได้แค่ไหน ยังไง
ตัวแทนช่อง 3: ขอยืนยันเรื่องโอลิมปิก ทีวีพูลจะพยายามทำให้ทุกคนได้ดู และมั่นใจว่าเราจะได้ดูกัน เรื่องโอลิมปิกต่างจากยูโร ความเข้มงวดน้อยกว่า โอกาสที่เราจะได้ดูผ่าน platform อื่นๆ ค่อนข้างสูง ดังนั้นจะไปสรุปว่าจอดำเลยอาจจะไม่ถูกต้องนัก
วิชิต: ถ้าช่อง 11 ที่เป็นของรัฐบาลกล้าออกก็จบเลย
ท้ายสุด ตัวแทน กสทช.ในฐานะเจ้าภาพจัดงานเสวนาโต๊ะกลมแถลงปิดงาน
สุภิญญา: ฟังจากวันนี้ปัญหามันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เรื่องจอดำอย่างเดียว แต่มันสะทอนให้เห็นปัญหาธุรกิจทีวี ที่ platform เปลี่ยนไปมาก เรื่องบอลยูโร ทำให้เห็นว่าไทยเคารพลิขสิทธิ์มาก แต่ผู้บริโภคอาจจะลำบากขึ้น ทั้งนี้ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือบอร์ดกระจายเสียง ที่จะมีการประชุมในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ว่า กสทช.จะทำอย่างไรในกรณีโอลิมปิก และอาจจะขอหารือกับทีวีพูลอีกที เพราะทีวีพูลมีภาระต่างจาก Grammy หรือ GMM Z คือต้องให้ประชาชนทุกคนได้ดู
ระยะสั้นคงต้องหารือกับนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐอีกรอบ หลังเคยหารือมีจุดยืนตรงกันว่า อะไรที่ผ่านฟรีทีวี คนไทยทุกคนควรจะได้ดู การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องพึ่งการตัดสินใจของรัฐบาลด้วย ส่วนระยะกลางและระยะยาว อาจจะต้องเชิญทุกท่านมาหารือกันอีก เพราะส่วนตัวไม่อยากออกระเบียบมาบังคับยุบยับ ทั้งนี้ ฟรีทีวี ตามรัฐมนตรีต้องให้คนไทยทุกคนรับชมได้ ที่ผ่านมาฟรีทีวีทำไม่ได้ ก็มีเคเบิลทีวีมาเป็น partner จึงขอให้ไปหารือกัน
“อยากให้ใช้โอลิมปิกเป็นจุดเริ่มต้นแก้ปัญหาระหว่างผู้ประกอบการ Regulator (ผู้กำกับดูแล) และผู้บริโภค วันนี้ก็จบแบบไม่จบ เพราะยังมีการบ้านต้องไปทำต่อ เพื่อหา Solution (วิธีแก้ไขปัญหา) ที่วิน-วินกับทุกฝ่าย”
คำถามหวาดเสียวจากตัวแทนช่อง 7 แม้จะทำเอาวงเสวนาเกือบล่มกลางคัน แต่ก็ยังมีข้อดีคือช่วยให้เห็นว่าในวงการทีวี ยังมีอะไรที่ประชาชนอาจจะยังไม่รู้อีกเยอะ !!!
