เรื่องควรรู้! ก่อนตัดสินใจฟ้องเรียกค่าเสียหาย บ.ขาย "มือถือเถื่อน" จากจีน
หลังจาก น.ส.สุภัทรา นาคะผิว อนุกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ออกมาเสนอแนะให้ผู้บริโภคที่ซื้อโทรทัศน์มือถือใน 280 รุ่น ที่ผู้ประกอบการ 27 บริษัทนำเข้าจากจีน และจำหน่ายไปแล้วกว่า 970,000 เครื่อง แต่ถูก กสทช.มีคำสั่งทางปกครองเพิกถอนใบรับรอง เนื่องจากใช้เอกสารรับรองมาตรฐานปลอม รวมตัวกันยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบการ
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวอิศรา” ได้ตรวจสอบไปยัง กรรมการ กสทช.บางคน ว่า ในกรณีนี้ สำนักงาน กสทช.จะสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนผู้บริโภคได้หรือไม่ แต่ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากสำนักงาน กสทช.เป็นผู้เสียหายเฉพาะกรณีปลอมเอกสารและแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 และมาตรา 137 เท่านั้น การฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเรื่องของผู้บริโภคโดยตรง ตาม “พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551”
“เป็นหน้าที่ของผู้บริโภคจะต้องนำสืบพิสูจน์ต่อศาลให้ได้ว่า ได้รับความเสียหายจากการซื้อโทรศัพท์มือถือจีน ที่ใช้ใบรับรองมาตรฐานปลอมหรือไม่ ถ้าสามารถนำพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเชื่อได้ ก็ชนะคดี” กรรมการ กสทช.รายนั้นกล่าว
(คลิก! ดูโทรศัพท์มือถือ 280 รุ่น/แบบ ที่ถูกเพิกถอนใบรับรอง)
สำหรับ พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 16 มาตรา สาระสำคัญคือ ให้สิทธิ “ผู้เสียหาย” ซึ่งหมายถึง ผู้ได้รับความเสียหายอันเกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย หรือ “ผู้มีสิทธิฟ้องแทน” อันได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือสมาคมและมูลนิธิซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้การรับรอง ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบการของสินค้านั้นๆ ได้
โดย “ความเสียหาย” ให้หมายถึง ความเสียหายทั้งต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย จิตใจ หรือทรัพย์สิน แต่ไม่รวมถึงความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
จะต้องเกิดจาก “สินค้าที่ไม่ปลอดภัย” ที่หมายถึง สินค้าที่ “ก่อ” หรือ “อาจก่อ” ให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ ใน 3 กรณี
1.ความบกพร่องในการผลิตหรือการออกแบบ
2.ไม่ได้กำหนดวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา คำเตือน หรือข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า
หรือ 3.กำหนดไว้แต่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจนตามสมควร
ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงสภาพของสินค้า รวมทั้งลักษณะการใช้งานและการเก็บรักษาตามปกติธรรมดาของ สินค้าอันพึงคาดหมายได้
ซึ่งในส่วนของ “ค่าเสียหาย” นอกจากนอกจากค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากผู้ประกอบการรู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าไม่ปลอดภัย ให้ศาลสั่งให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกินสองเท่าของค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงนั้น นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ต้องจ่าย “ค่าเสียหายต่อจิตใจ” ด้วย
แต่ก็มี “ข้อยกเว้น” ให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายอันอาจเกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหากพิสูจน์ได้ มีจำนวน 3 ข้อ
1.สินค้านั้นมิได้เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
2.ผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
หรือ 3.ความเสียหายเกิดขึ้นจากการใช้หรือการเก็บรักษาสินค้าไม่ถูกต้องตามวิธีใช้ วิธีเก็บรักษาคำเตือน หรือข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ผู้ประกอบการได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องและชัดเจนตามสมควรแล้ว
อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธิตามพ.ร.บ.ฉบับนี้มีกำหนดระยะเวลา หรือ “เด๊ดไลน์” เอาไว้อยู่ กล่าวคือ
(1) ไม่เกิน 3 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด หรือไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีการซื้อขายกัน
(2) ในกรณีที่ความเสียหายเป็นผลมาจากการสะสมของสารในร่างกาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการแสดงออก ให้ไม่เกิน 3 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบ หรือไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
ข้อมูลเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรรู้ ก่อนตัดสินใจว่าจะฟ้องผู้นำเข้ามือถือ 280 รุ่น ตามคำแนะนำของอนุกรรมการ กสทช.หรือไม่ !!!
-หมายเหตุ- ภาพด้านบนเป็นเพียงภาพประกอบข่าว ไม่ใช่ภาพของโทรศัพท์มือถือนำเข้าจากจีนที่ถูก กสทช.เพิกถอนใบรับรอง
:::บทความที่เกี่ยวข้อง:::
- ทีดับบลิวแซด แจงมือถือที่ กสทช เพิกถอน ขายหมดสต๊อกแล้ว
- เทเลวิชอ่วม! กสทช.จ่อแจ้งความเอาผิด 29 คดี อาม่าไม่รอด โดนด้วย 13 คดี-เจมาร์ท 8 คดี
- บันได 4 ขั้น” ตรวจ “มือถือจีน” ..ทำไม? มีแต่ บ.เล็กๆ ที่ถูกถอนใบอนุญาต
- "เจมาร์ท" ระบุมือถือถูกเพิกถอน 8 รุ่นเกลี้ยงสต็อก ย้ำเสียหายจริง พร้อมรับผิดชอบ
- แบนมือถือ "อาม่า"! กสทช.ลงดาบ สั่งนำออก-ทำลาย ใน 30 วัน หลังถูกเพิกถอนใบรับรอง
- เผย 27 บ.ชื่อดังถูกเพิกถอนใบรับรองโทรศัพท์มือถือ 280 รุ่น เฉียดล้านเครื่อง!
