เปิดใจ “หมอลี่” (1) : กสทช.ผู้รักษาโรค “มาตรฐาน (มือถือจีน) บกพร่อง”!
(นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา)
การเพิกถอนใบอนุญาตขายโทรศัพท์มือถือนำเข้าจากจีน กว่า 9.7 แสนเครื่อง ใน 280 รุ่น ของ 27 บริษัท เนื่องจากใช้เอกสารรับรองมาตรฐานปลอม ใครว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่?
เพราะแม้ในจำนวนรุ่นที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต จะมีแต่ที่รุ่นที่ราคาแค่ไม่กี่พันบาท และมีอยู่เพียง 1-2 รุ่นเท่านั้น ที่พอจะเรียกได้ว่า มีผู้คนรู้จักอยู่บ้าง
แต่การออกคำสั่งของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ครั้งนี้ กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการโทรคมนาคม เพราะเป็น “ครั้งแรก” ที่มีการตรวจสอบ “มาตรฐาน” ของมือถือนำเข้าอย่างจริงจัง
แถมยังนำไปสู่การวางระบบว่า ต่อไปไม่ว่า จะนำเข้ามือถือจากจีนหรือประเทศอื่นๆ จะต้องตรวจสอบไปยังต้นทางก่อนว่า มีการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้องแล้วหรือไม่
และด้วยสารพัดคำถามที่ผุดขึ้นมา อาทิ ทำไมต้องเริ่มจากประเทศจีน? ทำไมมีแต่บริษัทเล็กๆ ที่ถูกลงโทษ? ใครเป็นผู้ปลอมเอกสาร? อนาคตมือถือจีนในไทยจะเป็นอย่างไร? และ ฯลฯ
ทำให้ “สำนักข่าวอิศรา” ต้องบุกไปนั่งคุยกับ “นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา” กรรมการ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ “หมอลี่” มือปราบมือถือจีน (เถื่อน) ตัวจริง ถึงห้องทำงาน ที่ชั้น 3 สำนักงานกสทช. เพื่อไขปริศนาสารพัดคำถามข้างต้น ก่อนลากยาวไปถึงอนาคตผู้ใช้บริการมือถือในเมืองไทย ที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่ ครองตลาดอยู่เพียง 3 เจ้า พ่วงด้วยสิ่งที่ กสทช.พยายามจะปรับเปลี่ยน แต่ถูก “อิทธิพลนอกระบบ” แทรกซึมเข้ามาขัดขวาง ?
เนื่องจากเนื้อหาการพูดคุยที่เข้มข้น ทำให้ต้องตัดสินใจ แบ่งบทสัมภาษณ์ออกเป็น 2 ตอน เพื่ออรรถรสในการเสพรับข้อมูลอย่างเต็มที่
ตอนที่ 1 จะว่าด้วยมือถือจีนที่เป็นโรค “มาตรฐานบกพร่อง” ซึ่งต้องการการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน ส่วนตอนที่ 2 จะว่าด้วย “อำนาจล้นฟ้า” ของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย ที่เข้ามาแทรกซึมกระทั่งองค์กรจัดระเบียบยังทำอะไรแทบไม่ได้ !
มาติดตามเรื่องมือถือจีนก่อน...
ทำไมสนใจเรื่องมาตรฐานของมือถือจากจีน
เวลาจะนำเครื่องเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ก็ต้องมีการรับรองความสอดคล้องมาตรฐานทางเทคนิค เช่น การแผ่คลื่นแผ่พลังงานทั้งหลาย ยกตัวอย่างเวลาจะเอาไอโฟนมาจำหน่าย ก็ต้องมีใบรับรองจากห้องแล็ปในสหรัฐอเมริกา จะเอาซัมซุงมาจำหน่ายก็ต้องมีใบรับรองจากห้องแล็ปในเกาหลีใต้ เช่นเดียวกับมือถือจีนก็ต้องมีใบรับรองจากห้องแล็ปในเมืองจีน แต่มือถือจีนที่นำเข้ามีหลายรุ่นและมาจากหลายแล็ป เราก็เลยมาลองสุ่มดู เพราะมีคนบ่นว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ก็ทดลองสุ่มโดยเลือกเอกสารรับรองมาตรฐานที่ส่งมาให้ กสทช. รวม 400 รุ่น ส่งกลับไปยังแล็ปในเมืองจีน ก็ปรากฏว่ามีถึง 280 รุ่นที่เป็นเอกสารปลอม หรือไม่ก็มีการแก้ไข โดยหลักแล้วก็ต้องถือว่าคนที่มายื่นกับ กสทช.ใช้เอกสารปลอม การอนุญาตของเราจึงถือว่าไม่ชอบ จึงต้องเพิกถอนการอนุญาต
แล้วเหตุใดเลือกสุ่มเฉพาะมือถือจากจีน หรือสุ่มมือถือจากประเทศอื่นๆ ด้วยแล้ว
ปกติเราจะเชื่อแล็ปไหน แล็ปนั้นต้องได้มาตรฐาน ISO ยกตัวอย่างไอโฟนที่มีใบรับรองจากแล็ปสหรัฐฯ มันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ที่สำคัญมีการวางขายทั่วโลก ต่างกับมือถือจีนที่เป็น house brand เอาไปวางขายที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ สั่งจากที่ไหนก็ไม่รู้ วางขายเฉพาะในประเทศไทยหรือเปล่า ที่สำคัญคือสั่งมาโดยไม่มียี่ห้อ มาติดยี่ห้อที่ประเทศไทย แล้วตั้งชื่อกันเอง มันก็เลยสอบทานไม่ได้ว่า เฮ้ย มือถือรุ่นนี้วางขายแล้วปลอดภัยหรือไม่ ต่างกับพวกมือถือแบรนด์เนมทั้งหมด ที่เห็นเลยว่าขายในสหรัฐฯ อังกฤษ หรือทั่วๆ ไป เราจึงให้ความสนใจพวก house brand เหล่านี้ และเวลานี้แหล่งผลิตมือถือราคาถูกในตลาดโลกก็คือประเทศจีน ไม่ใช่เราจะเจาะจงเฉพาะมือถือจากเมืองจีน แต่มันเป็นแหล่งผลิตมือถือราคาถูกจำนวนมากจริงๆ
แปลว่าอย่างไอโฟน ซัมซุง โนเกีย ก็ไม่ต้องเช็คแล้ว เพราะการที่ขายได้ทั่วโลก เท่ากับรับรองมาตรฐานไปในตัว
ต้องดูชื่อห้องแล็ปด้วย โดยปกติแล็ปที่ได้มาตรฐาน ต้องผ่าน ISO นั่นแหล่ะ เชื่อถือได้ แต่แล็ปของประเทศจีนมักจะบอกว่าเป็นแล็ปของเมืองนี้ เราก็ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้หรือไม่ร สมมุติแล็ปของประเทศในทวีปยุโรปบอกว่าเป็นแล็ปของมหาวิทยาลัย อันนี้ชัดเจนว่าได้รับการรับรองมาตรฐาน แต่ของมือถือจีนเราไม่รู้ว่าได้รับการรับรองมาตรฐานจริงไหม ก็เลยทดลองสุ่มดู
มือถือจีนทั้ง 400 รุ่นที่สุ่มไป เป็นเพราะมีการร้องเรียนมา หรือว่าเหตุผลใด
ไม่มี ก็เอาเอกสารที่เขาส่งมาให้เราทั้งหมด เราก็สุ่มเอกสารมา 400 ฉบับแล้วถามกลับไป ไม่ได้เจาะจงว่าไม่ชอบเจ้าโน้น ยี่ห้อนี้ มันจึงกระจาย ดังนั้นจะเห็นว่า เวลาโดนเพิกถอนมันถึงโดนถึง 27 บริษัท ไม่ได้มุ่งแค่เจ้าใดเจ้าหนึ่ง
ซึ่งทุกยี่ห้อของทั้ง 27 เจ้า มีเจ้าของเป็นคนไทยทั้งหมด
ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าของบริษัทเป็นใคร แต่โดยหลักคนที่จดทะเบียน เป็นผู้ค้าหรือผู้นำเข้าต้องเป็นคนไทย
หลังจากสุ่มตรวจพบว่าใช้เอกสารปลอม กสทช.ได้ส่งเรื่องไปให้ผู้ประกอบการโต้แย้ง มีรายใดตอบกลับมาหรือไม่
มีครับ เนื่องจากอันนี้ เป็นกระบวนการทางปกครอง การที่เรารับรองให้เขา ก็เป็นคำสั่งทางปกครอง การที่เราตรวจสอบพบว่า สำคัญผิด พอเอกสารมันไม่จริงก็ต้องเพิกถอนการรับรอง ต้องแจ้งให้ผู้ประกอบการเขาโต้แย้ง ดังนั้น 27 บริษัทที่โดน หลังจากแล็ปจีนสั่งหนังสือมายืนยัน เราก็ส่งเอกสารไปให้เขาใช้สิทธิโต้แย้งคัดค้านได้ใน 30 วัน แต่บริษัทเกือบ 100% ไม่โต้แย้ง มีเพียงรายเดียวที่โต้แย้ง คือไอโมบาย แล้วก็ได้ผลด้วย เนื่องจากเขาเป็นบริษัทที่ขายอย่างกว้างขวาง เขาก็เอาหนังสือจากแล็ปจีน ส่งกลับไปถามอีกครั้งว่า เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมบอกว่าเป็นของปลอม ก็ปรากฏว่า แล็ปจีนเช็คไปเช็คมา พบว่ารุ่นของไอโมบาย จริงๆ แล็ปจีนเขาตรวจ 2 ครั้ง จึงมีใบรับรองอยู่ 2 เลข แต่แล็ปจีนดันไปตรวจเลขที่ไม่ตรงกัน เมื่อไอโมบายถามกลับไป แล็ปจีนจึงไปค้นแล้วพบว่า มีใบรับรองที่เลขตรงกันอยู่จริง เพราะมือถือจากจีน เขาไม่มีรุ่น เพราะเราซื้อกันมา ใส่ยี่ห้อ ตั้งชื่อกันเอาเอง แต่เขาจะใช้รหัส เช่น X45678 แล้วเมืองไทยเอามาเทียบรุ่น กับรุ่นอะไร ดังนั้นการตรวจสอบก็สับสน
ส่วนบริษัทอื่นๆ นอกจากไอโมบาย เมื่อส่งหนังสือไปให้โต้แย้ง ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า รับทราบแล้ว แต่ไม่คัคค้าน และจากการสอบถามเป็นการภายใน ส่วนใหญ่จะบอกว่า ไม่รู้จัดคัคค้านยังไง เพราะโดยข้อเท็จจริงทางธุรกิจ เขาก็ไปเลือกสั่งมาจากเมืองจีน โดยเลือกสเปคและราคาที่เหมาะสม พอสั่งมาปั๊บ บริษัทของจีนก็ให้ของมาพร้อมกับใบรับรอง ก็เลยไม่รู้ว่า ใบรับรองนั้นจริงหรือไม่จริง หน้าที่ของเขาก็คือเอาใบรับรองมายื่นกับ กสทช. บางใบแล็ปจีนบอกว่า อันนี้ออกให้จริง มีการลบเลขรุ่น ซึ่งตรงนี้ใครทำก็ได้ เมืองจีนหรือเมืองไทยทำ ไม่รู้ครับ
(ที่มา Infographic : เว็บไซต์ไทยพับลิก้า thaipublica.org)
(คลิก! ดูโทรศัพท์มือถือ 280 รุ่น/แบบ ที่ถูกเพิกถอนใบรับรอง)
โรงงานของมือถือจีนที่บริษัทไทยไปซื้อ มีกี่โรงงาน ซ้ำกันหรือไม่ แล้วกสทช.ทำอะไรได้บ้าง
ต้องบอกว่า 27 บริษัทเขาต่างคนต่างซื้อคนละโรงงานกัน แล้วแล็ปก็มีเป็นสิบๆแล็ป ซึ่งจะต่างจากมือถือแบรนด์เนมอย่างไอโฟน ที่พอทรูขอนำเข้า แล้วนำใบรับรองจากแล็ปสหรัฐฯมาให้กสทช. หลังจากนั้น เมื่อเอไอเอส ดีแทคขอนำเข้าไอโฟน ก็ไม่ต้องยื่นซ้ำ เพราะถือเป็นรุ่นที่ผ่านไปแล้ว แต่มือถือ house brand มันต่างจากกัน เพราะส่วนใหญ่เขาก็ไปซื้อต่างโรงงาน ต่างรุ่น มันเลยไม่ค่อยเกิดเหตุเรื่องนำเข้าซ้ำ เพราะส่วนใหญ่เอาคนละรุ่นเลย
ต้องจับตาเฉพาะบริษัทที่นำเข้าหรือไปถึงโรงงานจีน
อำนาจของกสทช.กำกับดูแลได้เฉพาะคนที่นำเข้า เราก็จะบอกบริษัทเหล่านั้นว่า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ว่าหากคุณไม่ได้ปลอม คู่ค้าของคุณก็ต้องปลอม ดังนั้นคุณก็ต้องเลือกคู่ค้าที่เชื่อถือได้ ผมยกตัวอย่างบางเจ้าที่มีช็อปของตัวเอง เช่น เจมาร์ท ทีดับบลิวแซท ฯลฯ เราไม่ได้บอกว่า 2 ร้านนี้เชื่อไม่ได้แล้ว เพราะเขาขายตั้งหลายรุ่น มีแค่บางรุ่นที่โดน สิ่งที่ทั้ง 2 บริษัทต้องทำคือ ต่อไปคุณต้องซื้อจากโรงงานที่เชื่อถือได้ สมมุติคุณเอามา 100 รุ่น ทำไม 90 รุ่นไม่โดน แปลว่าโรงงานที่ขาย 10 รุ่นนั่นเชื่อไม่ได้ ก็อย่าไปติดต่อเอา จะไปบังคับโรงงานจีนไม่ได้ เพราะเราไม่มีอำนาจ แต่เป็นเรื่องของผู้ประกอบการจะตัดสินใจกันเอง
วิธีต่อไป คือ กสทช.ต้องเปลี่ยนกระบวนการตรวจสอบ จากที่เคยยื่นแล้ว เราดูว่าน่าเชื่อถือ ก็จะออกใบรับรองให้ แต่ตอนนี้ ถ้ายื่นปุ๊บ เราก็จะส่งเอกสาร กลับไปถามที่แล็ปจีนเลย คือถามก่อน ไม่ใช่สุ่มแล้ว 100% ถึงจะอนุญาตได้ ดังนั้นกบก.จะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ ดังนั้นผู้ขอเวลานำเข้าต้องเผื่อตรงนี้ไว้ด้วย ถ้าอยากนำเข้า ต้องขอเวลา 1-2 สัปดาห์ ก็จะแก้ปัญหานี้ได้
แล็ปจีนที่จะตรวจต่อไป กสทช.ไม่ได้กำหนดว่า ต้อง ISO เท่านั้น
แล็ปที่ออกรัฐบาลจีนดูแล พอเขาออกมา เราเพียงแต่ถามเขาว่า เฮ้ย จริงไม่จริง ต้องบอกว่า ค่าต่างๆ ที่ออกในใบแล็ป ไม่ใช่แล็ปเด็กเล่นทำได้ เช่น ค่า SAR-Specific Absoprtion Rate คือค่าดูดซึมพลังงานจำเพาะ เมืองไทยไม่มีแล็ปไหนทำได้เลย ดังนั้นแล็ปที่ออกค่านี้ได้ต้องมีมาตรฐานระดับหนึ่งแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของรบริษัทจีนเองต้องกำกับดูแลแล็ปของเขา แต่ถ้ามี ISO ด้วยจะยิ่งเชื่อถือได้ใหญ่
เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ผู้ประกอบได้มาติดต่ออะไรบ้างหรือไม่
เขาก็มาหารือกับกรรมการ กสทช.บางส่วน แต่โดยหลัก กบก.ที่เราทำ ต้องเรียกว่าไม่เร็วเท่าไร เพราะเราตรวจพบว่ามีการใช้เอกสารปลอมตั้งแต่ต้นปี 2554 แล้วก็พบมาเรื่อยๆ ดังนั้นบริษัทจะรู้ตัวมาก่อนแล้ว บริษัทส่วนหนึ่งก็ฉลาด เขาจะบอกว่า รุ่นที่สั่งพบ เขาจะไม่นำเข้าอีกแล้ว และขายไปหมดแล้ว ดังนั้นแม้จะโดนเพิกถอน เขาก็ไม่เดือดร้อนอะไร จึงต้องบอกว่า เมื่อเรื่องนี้เป็นข่าวมา 2-3 เดือน บริษัทส่วนใหญ่ก็ยุติการนำเข้าล่วงหน้าไปแล้ว และเราได้ประสานกรมศุลกากรไม่ให้นำเข้ารุ่นที่กสทช.ไม่อนุญาต
แต่มือถือจีนบางรุ่นก็เป็นดาวเด่นของบริษัทนั้น
ผมเข้าใจว่าบริษัทนั้น น่าจะมีกลยุทธ์ทางการตลาด คือสั่งเข้ารุ่นใหม่มาขายแล้ว รุ่นเก่าเพียงแต่ขายที่มีอยู่ให้หมด ดังนั้นต่อไปอาจจะเจอรุ่นพลัส พลัส หรือซุปเปอร์ ซุปเปอร์ แต่รุ่นที่ถูกเพิกถอนรับเราเขาไม่ทำต่อไปแล้ว ในทางเทคนิคแค่เปลี่ยนตัวอะไรนิดหน่อยก็กลายเป็นคนละรุ่นแล้วล่ะ แค่ต้องยืนยันว่ามีแล็ปเมืองจีนรับรองจริงๆ แค่นั้นเอง
ถ้าเลย 30 วันแล้วบริษัทไม่นำออกหรือทำลายทำตามคำสั่งของ กสทช. บทลงโทษจะเป็นอย่างไร
จริงๆ ต้องบอกว่า อำนาจนี้เป็นไปตามพรบริษัทวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 จะมีโทษทางอาญาทั้งจำและปรับ แต่อาจจะไม่รุนแรง เพราะเป็นกม.ตั้งแต่ 57 ปีก่อน แต่ก็ถือเป็นโทษอาญา ดังนั้นบริษัทก้คงไม่ยินยอมเท่าไร เขาก็คงไม่อยู่เฉยแน่ ส่วนโทษเรื่องเอกสารปลอม เป็นโทษตามประมวลอาญา ทางบริษัทก็คงต้องพิสูจน์ว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะหลุดรอดได้
มาทำงานเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาล เคยได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
เรื่องนี้ผู้ประกอบการ ถ้าเขาไม่ได้ปลอมจริงนะครับ เขาก็อาจไม่เคยรู้มาก่อน พอเราทัก เขาถึงได้ตกใจว่า อ้าว! เขาก็โดนเหมือนกันเหรอ ดังนั้นสิ่งที่กสทช.ทำจึงไม่ได้เป็นผลเสียกับเขาทั้งหมด ทำให้เขาปรับธุรกิจให้เลือกคู่ค้าที่มั่นใจ เป็นบทเรียนให้ไม่ไปตกหลุมโรงงานในเมืองจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน ถ้าเราไม่ตรวจสอล แล้วเขาทำธุรกิจแบบนั้นไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับโดนหลอกไปเรื่อยๆ ดังนั้นบริษัทเองก็ได้ประโยชน์จากการป้องกันการถูกหลอกในระยะยาว
ยังเชื่อว่าบริษัทเหล่านั้นถูกหลอก?
ทั้ง 280 รุ่น ถ้าคนไทยจะปลอม ก็ไม่ได้ปลอมทั้งหมด ถามว่าทำไม? โดยเฉพาะเอกสารซึ่งแล็ปเมืองจีนบอกว่า ฉันไม่เคยออก ไม่ใช่แก้ไข ถ้าแก้ไข ใครทำทีหลังก็ได้ ผมเป็นบริษัทนำเข้ามือถือจากเมืองไทย ผมจะรู้ได้ยังไง มันมีแล็ปนี้อยู่ในโรง ชื่อนี้ ที่ตั้งนี้ มีระบบการจัดทำข้อมูล จัดทำเอกสารแบบนี้ ผมไม่มีทางรู้อยู่แล้ว คนไทยจึงไม่น่าจะปลอมทั้งดุ้นได้ คนปลอมน่าจะเป็นคนที่รู้ที่มาที่ไปในเมืองจีน ผมเลยเข้าใจว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตกหลุมบริษัทเหล่านั้น แต่กรณีที่ห้องแล็ปจีนบอกมาว่า เฮ้ย ผมออกให้จีน แต่มีการขูดลบ ขีดฆ่า ผมยืนยันไม่ได้ว่าคนไทยหรือคนจีนทำ
ผลกระทบต่อตัวคุณหมอเอง ตั้งแต่เรื่องเดินหน้าเรื่องนี้ในปี 2554
กสทช.ทำเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังมาก จะเห็นได้ว่าเรายังไม่เปิดเผยชื่อรุ่นหรือชื่อบริษัทเลย จนกว่าจะมีมติ เพราะเรามั่นใจว่า ถ้าเราเปิดเผยชื่อรุ่นหรือชื่อบริษัทไปก่อน โดนฟ้องแน่นอน เพราะมันกระทบต่อธุรกิจ อาจจะโดนฟ้องหมิ่นประมาทหรือละเมิดตามมาอีกมหาศาล และอย่างที่เห็นเราเสนอเรื่องนี้ให้กสทช.ตั้งแต่เดือนมี.ค.แล้ว กว่าจะมีมติเพิกถอนได้จริง ก็ตั้ง 3 เดือนถัดมา เพราะกลั่นกรองแล้ว กลั่นกรองอีก จนสุดท้ายถึงวันนี้ พอมีคำสั่งเพิกถอนแล้ว การเผยแพร่ชื่อบริษัทชื่อรุ่น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้ประชาชนได้ตระหนัก ซึ่งเรื่องนี้บริษัทคงฟ้องเราไม่ได้อยู่แล้ว แล้วอย่างที่เห็น เราไม่ได้เลือกค่ายใดค่ายใด เราสุ่มโดนทั้ง 27 บริษัท ซึ่งถ้าเราเลือกจริง มันคงไม่เยอะขนาดนี้
รออ่าน! พรุ่งนี้ (10 ก.ค.) ..นพ.ประวิทย์ จะมาพูดถึง “อำนาจลึกลับ” ที่ทำให้ กสทช.เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคจาก 3 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ไม่ได้ !!!
