เปิดใจ “หมอลี่” (2) : “อิทธิพลนอกระบบ” ของ 3 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่?
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เกิดแค่ธุรกิจโทรคมนาคม แต่มันเกิดขึ้นกับทุกธุรกิจของเมืองไทย ที่จะเกี่ยวพันกับทุน เกี่ยวพันกับการเมือง ใครก็ตามที่อยากทำธุรกิจในเมืองไทย จะต้องสร้างเครือข่ายทั้งแบบเปิดเผยและแบบไม่เปิดเผย เมื่อเกิดเครือข่าย การพิจารณาแต่ละเรื่องก็เกิดความเกรงใจ จะลงมติอะไรที่กระทบผลประโยชน์ ก็กระอักกระอ่วนใจ”
-นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา-
หลังจากเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) “นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา” กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ออกมาพูดถึงวิธีในการป้องกัน “มือถือไร้มาตรฐาน" ที่นำเข้าจากจีน
ในวันนี้ นพ.ประวิทย์ หรือ“หมอลี่” จะมาพูดถึงการรับมือกับสารพัดปัญหา ที่ผู้บริโภคร้องเรียนมาให้ช่วยจัดการกับ “ผู้ให้บริการมือถือเมืองไทย” ซึ่งเขามองว่า ...ทำได้ยากทุกเรื่อง !
ด้วยลักษณะ "สังคมอุปถัมภ์" แบบไทยๆ ทำให้กระทั่งในสำนักงาน กสทช.ก็ยังมั่นใจไม่ได้ว่าจะปลอด "อิทธิพลบางอย่าง" ซะทีเดียว !
“3 ยักษ์ใหญ่” อย่างเอไอเอส ดีแทค และทรู ทำอะไรให้กรรมการ กสทช.รายนี้หนักใจ ตามอ่านได้ในบรรทัดถัดไป...
หลักคิดในการทำงานดูแลผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมของคุณหมอ ใช้ความเป็นแพทย์เข้ามาช่วยอย่างไรได้บ้าง
ปัญหาของผู้บริโภคมือถือหลักๆ มี 2 เรื่องใหญ่ 1.ค่าบริการ แพงไหม โกงไหม ผิดไหม และ 2.มาตรฐานของตัวบริการ และมาตรฐานของตัวเครื่อง นี่คือเรื่องที่อยู่ในหัวใจผู้บริโภค ดังนั้นถ้าเราตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ ก็เท่ากับแก้ปัญหาส่วนใหญ่ ยกตัวอย่าง เราทำเรื่องค่าบริการ กำหนดอัตราขั้นสูงนะ อย่าคิดผิดพลาดนะ ไม่ให้มีปัญหาเรื่องสายหลุด หรือโทรศัพท์ไม่ติด อันนี้ผู้บริโภคถูกใจ เช่นเดียวกับมาตรฐานเครื่อง ถ้าผู้บริโภคสงสัย เราก็ไปตรวจสอบ นี่ก็ตรงไปตรงมา
ระหว่างรักษากับป้องกัน เน้นทำงานด้านใดมากกว่า?
เราเลือกประเด็นที่ต้องเป็นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีทั้งแก้ไขกับป้องกัน อย่างเรื่องมือถือจีน แก้ไขคือที่นำเข้ามาแล้ว ป้องกันคือเปลี่ยนวิธีตรวจสอบใหม่ ไม่ต้องสุ่มแล้ว ต่อไปต้องสอบถามแล็ปใหม่ มันก็ทำทั้ง 2 เรื่องไปได้พร้อมกัน อย่างเช่นเรื่องค่าบริการผิดพลาด ถ้ามีการร้องมา เราก็พิจารณาไปได้รายกรณี ว่าคุณคิดผิดต้องคืนเงินเขานะ ในต่างประเทศมีเลยว่าในแต่ละปี ต้องมีหน่วยสอบเทียบวิธีการคิดเงินของทุกบริษัท เหมือนกับการซ่อมบำรุงลิฟต์ ก็จะมีการติดป้ายว่า ลิฟต์นี้ซ่อมบำรุงแล้วนะ เครื่องอิเล็กทรอนิคส์ทั้งหลายต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เขาเรียก Calibration ต้องมีการตรวจสอบ แล้วออกหนังสือรับรองว่า โอเค ปีนี้เชื่อถือได้นะ ตรงนี้จะลดปัญหาเรื่องค่าบริการผิดพลาด ซึ่งเมืองไทยก็เอามาทำได้นะ แต่ก็ไม่ทำกัน เราก็ต้องไปคุยกับบริษัทว่า คุณต้องลงทุนในส่วนนี้นะ ไม่ใช่ว่าคิดยังไงก็ได้ คุณผิดก็ไม่มีใครรู้ ถามทุกบริษัทก็คงบอกว่าไม่มีใครอยากคิดผิด แต่คิดผิดแล้วได้กำไรเอาไหม บริษัทก็คงคิดว่าอยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่ถ้าคิดผิดแล้วขาดทุนบริษัทเอาแน่ มันจึงต้องหากติกากลางดีกว่า ไม่ว่าคิดผิดแล้วใครได้ประโยชน์ เอาให้มันคิดถูกดีกว่า ก็ต้องวางระบบ ผมจงเชื่อว่าเลือกประเด็นที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคส่วนใหญ่ แล้ววางระบบแก้ไขป้องกันปัญหากันดีกว่า
สิ่งที่คิดจะทำต่อหลังจากตรวจมาตรฐานมือถือจีน
ประเด็นหลักๆ มี 2 ประเด็นคือค่าบริการ ซึ่งปีนี้เราทำไปแล้ว เรื่องอัตราขั้นสูงของค่าบริการมือถือ ไม่ให้เกินนาทีละ 99 สตางค์ แต่ค่าบริการขั้นสูงของมือถือประเภทข้อมูล อย่างการส่ง SMS (ข้อความสั้น) ต้นทุนมันถูกกว่าค่าโทร.เป็น 10 เท่า ทำไมเรายอมปล่อยให้เขาคิดครั้งละ 3 บาท 6 บาท ควรจะทำอัตราค่าบริการขั้นสูงของ SMS หรือตอนนี้คนใช้ 3 จีเยอะ ค่า 3 จี ตกลงมันถูกหรือมันแพง เราต่อไปเราจะประมูล 3 จี เราก็ต้องทำอัตราขั้นสูงของ 3 จีให้ได้ แต่เรื่องนั้นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีส่วนค่าบริการอีก 2 ส่วนย่อย 1.ค่าโอนย้ายค่าย หรือโอนย้ายเลขหมาย ที่ตอนนี้บริษัทยอมรับว่า ต้นทุนไม่เกิน 70 บาท แต่เราปล่อยให้เขาเก็บ 99 บาท แสดงว่ามันสามารถลดได้ทันที 30 บาท เราจึงจะทำให้กสทช.เสนอเรื่องให้ค่าโอนย้ายเลขหมาย ให้ไม่เกิน 70 บาท ตามที่บริษัทสารภาพมาเอง ซึ่งปีที่ผ่านมา มีการโอนย้ายเลขหมาย ประมาณ 300,000 ราย บริษัทได้กำไร 6,000,000 บาท ทั้งที่บริการนี้มันไม่ควรมีกำไร อยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน 2.คุณภาพการให้บริการ ตอนนี้เราก็ตระเวนทดสอบคุณภาพ สัญญาณมือถือ ทั้งโทร.ออก-รับสาย และเล่นอินเตอร์เน็ต
ส่วนปัญหาในอนาคต คือเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะต่อไป การทำธุรกรรมจะทำผ่านมือถือ โฆษณากับทำผ่านมือถือ ผู้บริโภคไทยทนกับปัญหาเรื่อง SMS โฆษณามา 5 ปีแล้ว เดี๋ยวๆ ก็มีโฆษณา คอนโด แบงก์ ฟิตเนส ของค่ายมือถือเองก็ไม่น้อย ดูดวง โหลดเกมส์ ชิงโชค พวกนี้มันต้องมีกติกาที่เหมาะสม ว่า เอ๊.. ผู้บริโภคต้องสมัครก่อนหรือเปล่าถึงจะโฆษณาได้ เมื่อ 4-5 ปีก่อน คนไทยจะบ่นว่า มันโฆษณาโดยเราไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ นอกจากไม่สมัครไม่ยินยอมแล้ว มันส่ง SMS มาแล้วหักเงินเราด้วย ซึ่งจริงๆ มันทำไม่ได้ พอเราตรวจสอบกลับไป บริษัทก็จะบอกว่า เข้าใจว่าเป็นความผิดพลาดของฐานข้อมูล ไปเก็บบันทึกว่าคนนี้สมัคร ทั้งที่เขาไม่ได้สมัคร พอเจอก็คืนเงิน แต่ผู้บริโภคก็จะบ่นว่า คุณคืนเฉพาะคนที่ร้อง แล้วคนที่ไม่ร้อง ไม่รู้ตัวล่ะ คุณมีความผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องมาทำมาตรฐานทั้ง 2 เรื่องนี้
นอกจากนี้ บางครั้ง แม้เราจะสมัครสมาชิกจริง แต่เข้าใจผิด เช่นสมัครดูดวง เรากดเพื่อส่งข้อความเดียว วันนี้มันส่ง SMS มา 5 ครั้ง เดือนหนึ่ง 150 ครั้ง โดนไป 900 บาท เขาก็บอกว่า สมัครแล้วไง เราก็ อ้าว! สมัครแค่ข้อความเดียว เหมือนกับฟุตบอลโลกเมื่อ 2 ปีก่อน ให้ทายว่าทีมไหนจะชนะ พอเราส่งไป ปุ๊บ ต่อไปทุกคู่มันส่งมาหมดเลย ทั้งที่เราเชียร์แค่แมตช์นั้นคืนนั้น แต่พอกดส่งไปมันโดยทั้งทัวร์นาเมนท์ ก็โดนไปหลายบาท
เหมือนตั้งใจลวงให้เข้าใจผิด?
ในต่างประเทศเรียกการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้คนหลงเข้าใจผิด ซึ่งเขามีกติกาห้ามไว้ ถ้าคิดเงินแล้วก็ต้องคืนเงินเขา
เท่าที่ไล่มาอยากทำเรื่องไหนก่อน เรื่องไหนน่าจะยากหรือง่ายที่สุด?
จริงๆ ทุกเรื่องยากหมด เพราะเรื่องใดก็ตามแต่ที่กระทบผลประโยชน์ มันก็จะมีแรงเสียดทานแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่เราเลือกคือทำทุกเรื่อง แล้วเรื่องไหนสำเร็จ ก็เดินเรื่องนั้น คือเราจะไปบอกว่า ชอบเรื่องนี้ ชอบเรื่องนั้นไม่ได้ เพราะบางเรื่องที่เราอยากทำ แรงเสียดทานมันมหาศาลมาก...
เช่น 3 จี?
เอาง่ายๆ เลยนะ อัตราขั้นสูงของ SMS จริงๆ มันไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะ SMS ใช้โครงข่ายน้อยกว่าเสียงเป็น 10 เท่า เมื่อเสียงเราให้ไม่เกินนาทีละ 1 นาที SMS ก็ควรจะข้อความละไม่เกิน 10 สตางค์ แต่เราก็พูดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังมี SMS ข้อความละ 3 บาท 6 บาทอยู่ โดยเรื่องนี้ เรื่องมันง่าย และตรงไปตรงมา แต่ทำยาก หรือต่อไปเราจะทำเรื่องอัตราขั้นสูงของ 3 จี มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลเรื่องราคา ไม่ใช่การกำกับดูแล แต่เป็นการแข่งขัน ใครเล่นเน็ตผ่านมือถือ สมัยก่อนคิด 1 กิโลไบต์ 12 สตางค์ ก็ควรจะ 1 เมกกะไบต์ 120 บาท คนก็บ่นว่าแพง แต่ถ้าอยากใช้ ก็ต้องยอมจ่าย แต่พอทีโอทีเปิด 3 จี ขายเมกกะไบต์ไม่เกิน 2 บาท จากที่เจ้าเก่าขายเมกกะไบต์ละ 120 บาท ต่างกัน 60 เท่า ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือการเพิ่มเจ้าใหม่เข้าไปในตลาด เขาจะตัดราคากันลงมาเอง ดังนั้น ถ้าเราเพิ่มเจ้าใหม่ไปไม่ได้ มันก็เกิดการฮั้ว เกิดการผูกขาด
อุปสรรคในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เป็นเพราะกระทบต่อผลประโยชน์มหาศาลของค่ายมือถือ หรือมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ตรงนี้ประเมินยาก ผมเข้าใจว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่มีอิทธิพลที่ไม่เปิดเผยอยู่ จะมีการเมืองด้วยหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ทุนนี่มีแน่ ทุนส่วนใหญ่ก็มีเล่นทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย เปิดเผยก็เช่น อุทธรณ์คำสั่ง ฟ้องศาลปกครอง ที่ไม่เปิดเผย ก็อาจจะมีการใช้อิทธิพลผ่านเครือข่ายหรือคอนเน็กชั่นใดๆ ก็ตามแต่ อย่างบางเรื่องที่บอกว่า มันตรงไปตรงมา เคาะมาก็ได้แล้ว อย่างเรื่องค่าโอนย้ายเลขหมาย ที่เก็บ 99 บาท บริษัทสารภาพว่าต้นทุนจริงๆ แค่ 70 บาท มันตรงไปตรงมามาก บริษัทได้กำไรครั้งละ 29 บาท ปีหนึ่งหลายล้านบาท เคาะง่ายมากเลย แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าผ่านมา 3-4 เดือนทำไมเรื่องนี้ไม่เข้าที่ประชุมกทค. ถามสำนักงานกสทช.ก็บอกว่า รู้ๆ เตรียมเสนอ แต่ไม่เข้าที่ประชุม
ไม่เข้าเพราะอะไร เคยไปไล่ดูไหม
ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอิทธิพลที่มองไม่เห็น แต่ถ้าทำกันตรงไปตรงมาจริง เรื่องนี้จบตั้งแต่ 4 เดือนแล้ว เพราะถามว่ากสทช.เอาเปรียบผู้ประกอบการไหม ก็เปล่า ทุกบริษัท เอไอเอส ดีแทค ทรู ยอมรับว่าตอนนี้เก็บแพงกว่าทุนหมด
ค่ายมือถือใหญ่ให้ทุกกับค่ายการเมืองทุกพรรค จะเป็นตัวขัดขวางการทำงานของคุณหมอในอนาคตหรือไม่
เรื่องนี้มันไม่ใช่เกิดแค่ธุรกิจโทรคมนาคม แต่มันเกิดขึ้นกับทุกธุรกิจของเมืองไทย ที่จะเกี่ยวพันกับทุน เกี่ยวพันกับการเมือง ดังนั้นไม่เฉพาะบริษัทมือถือ บริษัทอาหาร บริษัทพืชผลเกษตร บริษัทน้ำมัน บริษัทพลังงานทั้งหลายก็ทำลักษณะนี้หมด ก็คือ ใครก็ตามที่อยากทำธุรกิจในเมืองไทย จะต้องสร้างเครือข่ายทั้งแบบเปิดเผยและแบบไม่เปิดเผย เมื่อเกิดเครือข่าย การพิจารณาแต่ละเรื่องก็เกิดความเกรงใจ จะลงมติอะไรที่กระทบผลประโยชน์ ก็กระอักกระอ่วนใจ ดังนั้นสิ่งที่กสทช.ต้องทำให้ได้ คือต้องเป็นกลางจริงๆ
โดยรวมถามว่าบริษัทมือถือมีอิทธิพลไหม ก็พยายามมีอิทธิพลทุกระดับนั่นแหล่ะ มีอิทธิพลทางการเมืองไหม แน่นอน เอ๊ ทำไมสัญญาแบบหนึ่ง ในรัฐบาลหนึ่งบอกว่าถูกกฎหมาย ในรัฐบาลหนึ่งบอกว่าผิดกฎหมาย ทำไมตอนนั้นขยายสัมปทาน มีการแก้ไขสัมปทาน ตอนนั้นบอกว่าถูกกฎหมาย พอเปลี่ยนรัฐบาลกลับบอกว่าผิดกฎหมาย นั่นชัดเจน ลักษณะการให้ใบอนุญาต ให้สัมปทานแบบเดิม มีเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
แปลว่ากระทั่งในสำนักงาน กสทช. ก็ไม่ได้ปลอดอิทธิพลจากบริษัทมือถือเสียทีเดียว?
ถ้าผมมีอำนาจ มีผลประโยชน์ คงไม่เลือกพื้นที่ พื้นที่ไหนส่งอิทธิพลได้ ผมส่งหมดแหล่ะ จะชั้นการเมือง ชั้นบริหาร ชั้นประจำ แม้แต่องค์กรผู้บริโภค ถ้าผมโน้มน้าวได้ ผมก็คงทำหมด ดังนั้นไม่มีพื้นที่ปลอดอิทธิพลแน่นอน จะบอกว่า กรรมการปลอดอิทธิพล สำนักงานปลอดอิทธิพล คงไม่เป็นจริงในประเทศไทย
การ์ดตกเมื่อไร..มาเมื่อนั้น
เป็นธรรมเนียมปกติทางธุรกิจ เมืองไทยเสนออย่างเงี้ย ถ้าสมยอมไปรับกัน มันก็เป็นเครือข่ายกันไป ถ้าไม่สมยอม ก็ต้องยืนหยัดในหลักการกันไป
3 เจ้าใหญ่ค่ายมือถือเมืองไทย แข่งขันกันเพื่อผู้บริโภคจริงๆ หรือมีแอบฮั้วกันบางเรื่อง
เอ่อ.. ถ้ามองในแง่บริการที่ให้กับผู้บริโภค เกือบจะมีลักษณะเดียวกัน ยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่งออกโปรโมชั่นหนึ่ง บริษัทอื่นก็ออกโปรโมชั่นใกล้เคียงกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง แต่ก่อนมีกลางวัน-กลางคืน ทิวา-ราตรี สุริยัน-จันทรา หรือโทร.ในเครือข่าย 50 สตางค์ก็ทำเหมือนกันหมด ลักษณะจึงไม่ค่อยเกิดการแข่งขัน แต่เกิดการดำเนินการให้คล้ายคลึงกัน แล้วเมืองไทยผ่านยุคของสงครามราคาไปแล้ว เราจะไม่เห็นการแข่งแง่ราคาอีกต่อไป มีแต่การก็อปโปรโมชั่นไปเรื่อยๆ ดังนั้นการให้บริการของผู้บริโภค ผมจึงไม่เห็นการแข่งขันด้านคุณภาพ หรือด้านราคาเท่าไร เสมือนหนึ่งจับมือกัน
แต่กับองค์กรกำกับดูแล เขาจะรวมกันด้วยซ้ำ เช่นถ้ากสทช.ออกประกาศอะไรกระทบกับเขา 3 เจ้าก็จะมานั่งคุยกัน ว่าจะฟ้องกันไหม ก็เป็นความร่วมมือกันแบบหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงมีทั้งร่วมมือกัน และไม่ร่วมมือกัน แล้วแต่ประเด็นปัญหาคืออะไร
ถ้ามีศัตรูร่วมก็จะร่วมมือกันแน่นอน ซึ่ง กสทช.ก็เป็นศัตรูร่วมหลายกรณี
ก็แล้วแต่ หรือบริษัทที่แล้วมีบริษัทเก็บภาษีสรรพสามิต SMS ทั้ง 3 เจ้าก็ร่วมมือกัน เพราะมันกระทบธุรกิจ !
(ย้อนอ่าน.... เปิดใจ “หมอลี่” (1) : กสทช.ผู้รักษาโรค “มาตรฐาน (มือถือจีน) บกพร่อง”!)
