ความเสี่ยงการเมืองไทย...อย่าให้แรงเกินไป เพื่อไทย

ผมได้รับคำถามเสมอว่า ช่วงนี้ ความเสี่ยงต่างประเทศ หรือ ความเสี่ยงในประเทศจะมากกว่ากัน
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ความเสี่ยงที่มีผลหนักต่อตลาดหุ้นไทย เป็นปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก จากปัญหา ซับไพรม์ วิกฤตเลแมนบราเธอรส์ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตรัฐบาลกรีซ วิกฤตเสปน ฯลฯ
จนหลายคนประเมินว่า หลังฟุตบอลยูโร จะเกิดวิกฤตหนักขึ้น เมื่อลูกหนี้ เตะชนะเจ้าหนี้ตกรอบไปหมด รอบชิงชนะเลิศที่เสปน ชิงกับอิตาลี เป็นลูกหนี้แข่งกันเอง ประเทศผู้ปล่อยกู้อย่างเยอรมันยังต้องพ่ายแพ้ไป (ฮา)
ทำให้อาจคิดว่า ประเทศเจ้าหนี้ ก็ช่วยลูกหนี้จนไม่มีเงินอัดฉีด ส่วนประเทศลูกหนี้ ก็ใช้เงินไม่หยุดในการอัดฉีดทีมฟุตบอล ! (ฮา)
สำหรับสถานการณ์ในประเทศ ถือได้ว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานั้น มีความสำคัญค่อนข้างน้อย
ผมได้เข้าวงการหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 1988 ถือได้ว่า ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ การเมืองไทยก็ยังไม่ดี เราอยากเห็นการเมืองที่โปร่งใส การเมืองที่สะอาด แต่ก็ยังลุ่มๆดอนๆ แต่อย่างไรก็ตาม เอกชนไทยยังแข็งแรงเสมอมา นับว่า เป็นความเก่งของเอกชนไทยจริงๆ
ขณะนี้ ผู้คนก็อาจจะจับตาเรื่อง พ.ร.บ ปรองดอง และเรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผมเชื่อว่า บ้านเมือง อาจออก “หัว” ออก “ก้อย” หรือ ออก “กลาง” แต่ถ้าทุกฝ่ายอยากให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้อย่างสันติ ก็คงเป็นไปตามหลัก “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” คือ แผ่นดินไหนที่เป็นธรรม แผ่นดินนั้นจะเป็นทอง ซึ่งน่าจะเกิดผลดีได้กับทุกฝ่าย
1. หากเอาผิด พรรคเพื่อไทย ง่ายเกินไป เช่น ด้วยเรื่องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้ว 2 วาระ จะถึงขั้นยุบพรรคนั้น ผมเป็นห่วงว่า ด้วยความรู้สึกที่เปราะบางของสังคม อาจจะทำให้เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายได้
2. หากไม่เอาผิด นักโทษทุกจริตหลายหมื่นล้าน ง่ายเกินไป ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ การออก พรบ. (อ้างว่า) ปรองดอง โดยไม่แสดงหลักฐานเพื่อชี้แจง แต่ใช้อำนาจกฎหมู่ แทนกฎหมาย ก็อาจทำให้เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายได้เช่นกัน
3. บ้านเมืองจึงควรเดินทางสายกลาง ใช้เหตุ ใช้ผล ใช้หลักฐาน ใช้ความจริง ใช้ความรัก ใช้ความสามัคคี บ้านเมืองก็จะเดินไปได้ดี
...บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ไม่ควรมีใครนำไปสู่การสร้างประเด็นให้เกิดความวุ่นวายได้
...สังคมควรส่งเสริมให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน เลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย จริงก็ว่าจริง เท็จก็ว่าเท็จ
...ประชาธิปไตยก็ควรเดินหน้าไป เรามีการเลือกตั้งแล้ว ได้นายกฯ มาจากเสียงส่วนใหญ่แล้ว
...และเมื่อรัฐบาลบริหารบ้านเมือง ทุกฝ่ายก็ปล่อยให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ทหารให้ความร่วมมือ คณะองคมนตรีให้การสนับสนุน พันธมิตรไม่ได้ออกคัดค้าน ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบในรัฐสภา
จนเมื่อผู้มีอำนาจ เริ่มใช้อำนาจเกินตัว เอาอำนาจบริหาร และ อำนาจนิติบัญญัติ หวังก้าวล่วงอำนาจตุลาการ เช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการปล้นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไป
สังคมจึงไม่ยอมรับ ต่อต้าน การออก พ.ร.บ. ล้างผิดคนๆเดียว แม้ใครจะอ้างว่าไม่ใช่เพื่อคนๆเดียว แต่ก็เพราะการให้อภัยคนส่วนใหญ่เพื่อให้เกิดความปรองดองในสังคม ย่อมทำได้โดยไม่เกี่ยวกับคดี “ซุกหุ้น” และ “ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์หุ้นที่ตนถือแต่ซุกซ่อนไว้” ได้ การต้องให้รวมความผิดของบุคคลพิเศษนั้น จึงเท่ากับการล้างผิดคนๆเดียว
จะอ้างว่า เป็นความผิดที่ถูกกลั่นแกล้งจากการรัฐประหาร ก็คงต้องถามว่า คมช. เป็นผู้ซุกหุ้นหรือ ? หรือ ครอบครัวซุกหุ้นกันเอง รัฐธรรมนูญที่อดีตผู้นำทำผิด เป็นรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ร่างในสมัยหลังปฏิวัติหรือ ? เปล่าเลย เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับปี 2540 ต่างหาก
เมื่อรัฐบาลได้บริหารประเทศ ประชาชนก็เฝ้ารอให้รัฐบาลได้บริหารงาน เพื่อนำส่งผลงานตามที่ได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็น “การกระชากราคาสินค้าลงมา” ค่าแรง 300 บาท/วัน ข้าวเกวียนละ 15,000 บาท/ต่อ การสร้างความสุข และปลดทุกข์ชาวบ้าน ประชาชนทุกคนก็กำลังเฝ้ารออยู่
แต่ช่วงนี้ ประชาชนอาจรู้สึก “แพงทั้งแผ่นดิน” ค่าแรงยังไม่ถึง ราคาข้าวยังไม่ได้ น้ำท่วมยังไม่ได้รับการชดเชยที่เพียงพอและทันการ ฯลฯ
ประชาชนก็อยากเห็นรัฐบาลทำงาน
ดังนั้น อย่าดึงดันที่จะผลักดันเรื่อง พ.ร.บ. ปรองดอง หรือ แก้ไขรัฐธรรมนูญเลยครับ มันจะเกิดความวุ่นวาย แล้วแทนที่รัฐบาลจะมีวาระเต็มที่ที่จะได้ทำงานตามที่สัญญากับประชาชน
แต่อาจทำให้เรื่องคนๆเดียว ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ได้สิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้
ผมขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลในการมุ่งหน้าทำงานเพื่อประชาชน และทำได้ หรือไม่ได้เพียงใด ก็ขอให้เดินหน้าไปตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าเห็นว่ารัฐบาลทำหน้าที่ดี ก็เลือกใหม่ ถ้าเห็นว่า รัฐบาลทำหน้าที่ไม่ได้อย่างที่คุยไว้ ก็ไม่เลือกใหม่ได้ เพราะในระบอบประชาธิปไตย อำนาจจะกลับมาสู่มือของประชาชนที่ได้อย่างช้าทุกๆ 4 ปีครับ
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
