ทำไม? “สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์” ถึงชี้ว่า ศก.จีนใกล้จะล่มแล้ว !!
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “สนามข่าว 101” ดำเนินรายการโดย น.ส.วรวีร์ วูวนิช และนายรัชชพล เหล่าวนิชย์ ออกอากาศทางคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 101 เมกกะเฮิร์ตส์ ถึงทิศทางเศรษฐกิจจีนที่ดัชนีชี้วัดหลายตัวระบุตรงกันว่ากำลังชะลอตัวลงจนมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดวิกฤตในอนาคต “สำนักข่าวอิศรา” เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดต่อ
-ดัชนีชี้วัดหลายตัวที่ออกมาในเวลานี้ ทำให้ดูเหมือน เศรษฐกิจจีนอาจจะ Hard Landing (พังครืนอย่างรุนแรง) หลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
ผมคิดว่าในช่วง 10 ปีจากนี้ เศรษฐกิจจีนคงอยู่ในฐานะที่ไม่ง่าย เหมือน 20-30 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนใน 2-3 ปีนี้ มันเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง กระทั่งบทความใน Newsweek ถึงกับออกมารวิเคราะห์ว่า ยุคแห่งความรุ่งเรืองของจีนจบลงแล้ว เปรียบเทียบเหมือนกับญี่ปุ่นที่เคยเจอช่วง lost decade (ทศวรรษที่สูญเปล่า) ที่เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1990-2000 ได้เลยว่า สมัยนั้นทุกคนจะพูดถึง Japanese Model หรือ Japan Inc. (บริษัทข้ามชาติของญี่ปุ่นที่มีแบรนด์ของตัวเอง) กระทั่งคุณบุญชู โรจนเสถียร รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจสมัยนั้น ก็บอกว่าเมืองไทยก็น่าจะมี Thailand Inc. หลายคนก็มีการวิเคราะห์กันว่าอีกหน่อยเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะแซงสหรัฐอเมริกา แต่พอเจอปี ค.ศ.1990 ก็จบเลย กลายเป็นญี่ปุ่นได้สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 10 ปี เริ่มดีขึ้นมาหลังปี ค.ศ.2000
แนวคิดอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็คงอธิบายได้ง่ายๆ ว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเป็นเลข 2 หลัก พอเหลือเลขหลักเดียวก็เป็นปัญหา ปีนี้จีนก็เป็นห่วงปรับตัวเลข GDP ให้เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นก็ดีใจแล้ว แต่สำหรับจีนนั้นไม่ใช่ เพราะถ้า GDP ต่ำกว่า 7 เปอร์เซ็นต์หมายถึงจีนจะเริ่มมีปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน เหมือนกับไทยที่เป็น “บุญหล่นทับ” เหมือนไทยในปี ค.ศ.1980 ที่ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงสงครามเย็น ทำให้คู่แข่งของไทยไม่มี กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ โลกก็ไม่ได้ค้าขายด้วย ในกลุ่มประเทศทุนนิยม ครึ่งโลกก็ยังไม่ได้เปิดประเทศ ในละตินอเมริกาก็ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางการเมือง ตะวันออกกลางก็ยังหยั่งงั้นๆ ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่นถูกให้ทำข้อตกลง Plaza Accord ทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องขึ้นค่าเงิน ทำให้เปลี่ยนวิธีการผลิต จากเดิมส่งออกสินค้าต้นทุนต่ำ มาเป็นสินค้าที่ใช้ต้นทุนสูงขึ้น Toyota ก็ออกรถยนต์รุ่นคัมรี ซึ่งต้องใช้เวลานานมากในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ให้แข่งขันได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ไทยก็เลยบุญหล่นทับ เพราะญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิต ซึ่งเขามีตลาดการส่งออกอยู่แล้ว ทำให้ GDP ของไทยพุ่ง เพราะสัดส่วนการส่งออกของไทยเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP
ส่วนจีนที่บุญหล่นทับ เพราะหลังสงครามเย็นสิ้นสุด ทำให้การค้าขยายตัวเยอะ จีนที่ค่อยๆ เปิดประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 ใครต่อใครก็มองเห็นข้อดีจีนใน 2 เด้งเลย คือ 1.เป็นฐานการผลิตที่ต้นทุนต่ำ และ 2.มีพลเมือง 1 พันล้านคน ทำให้เป็นตลาดที่ใหญ่มาก ดังนั้นใครต่อใครก็พูดแต่จีน จีน จีน ทั้งวันทั้งคืน แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เมื่อคนจีนมีรายได้ดีขึ้น ก็มีคนออกมานอกประเทศเยอะ ทำให้ค่าแรงสูงขึ้น ดังนั้นคุณจะต้องปรับใหม่ เศรษฐกิจที่เคยพึ่งพาแรงงานราคาถูกก็ต้องปรับ การปรับแบบนี้จะต้องใช้เทคโนโลยีมาก พูดง่ายๆ คุณทำสิ่งทอระดับล่าง พอจะมาทำสิ่งทอระดับกลาง แค่ design อย่างเดียวคุณก็ต้องคิดแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ถ้าดูเผินๆ เหมือนจะทำให้รอดจากวิกฤตซัมไพรม์มาได้ เพราะมีเงินสำรองเยอะ แต่เรื่องนี้ก็มีปัญหาเพราะที่ผ่านมา โครงสร้าง GDP ของจีน แม้จะพึ่งพาการบริโภคภายในเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ไปพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนของภาครัฐถึง 70 เปอร์เซ็นต์
พอเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลานี้ จีนเริ่มมีปัญหา เพราะ 1.ตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง คือยุโรป เริ่มมีปัญหา 2.หลายประเทศชักจะหมันไส้จีน หาว่าแกล้งโง่ทำให้ค่าเงินอ่อน ตอนนี้ แม้จีนจะเริ่มปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอ แล้วก็มีการกีดกันทางการค้า จนจีนต้องปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้น 3.fixed asset (สินทรัพย์ถาวร) แม้จีนจะดูว่ามีอยู่เยอะ เห็นได้จากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มากมาย แต่พอยัดเงินเข้าไปไม่ให้เจอปัญหาวิกฤตซับไพรม์ ถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยยัดเข้าไปที่ fixed asset ถึง 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ อีก 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าไปที่ธนาคารต่างๆ ทำให้เกิดเงินเฟ้อ 6.5 เปอร์เซ็นต์ 4.ประเทศจีนเวลานี้อยู่ในภาวะที่ประชากรของเขากำลัง edging (คนวัยทำงานลดลง) สิ่งที่เขาต้องคิดก็คือจำนวนคนที่คนหนุ่มน้อยกว่าคนแก่ในอนาคต แต่จีนเป็นลักษณะ mixed economy ส่วนหนึ่งเป็น enterprise ส่วนหนึ่งยังเป็นรัฐวิสาหกิจ
ดังนั้น สิ่งที่จีนต้องตอบในเวลานี้คือ จะยัดเงินเข้าไปอีกหรือจะปล่อย ถ้าปล่อยไปก็เป็น NPL (สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ซึ่งเวลานี้ NPL จีนก็เริ่มขยายตัวแล้ว
-หลายคนก็บอกว่าช่วงที่รัฐบาลจีนไปสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ อสังหาริมทรัพย์ก็บูม แต่เดี๋ยวนี้หลายแห่งก็ร้างแล้ว
ใช่ พอออกมาเป็นแบบนี้ เวลานี้จีนก็มีปัญหาเรื่อง bubble (ฟองสบู่) อยู่แล้ว ถ้า 1.จ่ายเงินเข้าไปอีก ก็ยิ่ง bubble หรือ 2.ปล่อยให้มันเจ๊ง แล้วก็รับซื้อไว้เพื่อแจกจ่าย แต่ถ้าทำเช่นนี้จะมีปัญหาการเมือง คือเจ้าของต่างๆ จะเริ่มมีปัญหากับฝ่ายการเมือง แล้วอย่าลืมว่าอีก 1-2 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีน
ดังนั้นทางออกที่จะทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขัน คือต้องเปลี่ยนระบบ นั่นคือ รัฐวิสาหกิจที่มันไม่มีประสิทธิภาพจะต้องเปลี่ยน โมเดลแบบ state capitalism (การใช้รัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจ) ต้องปรับ เพราะมันไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร จะต้อง privatization (แปรรูปให้เป็นเอกชน) มากขึ้น แต่เรื่องนี้จะเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะนั่นหมายถึงจีนจะเข้าสู่โลกอีกแบบหนึ่ง คล้ายกับที่เกิดในเหตุการณ์ Arab Spring เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่คนเคยพอใจแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ทุกวันนี้มีการเรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ดังนั้นใน 10 ปีต่อไปขึ้นอยู่กับฝีมือของรัฐบาลจีนว่าจะทำอย่างไร ซึ่งมันจะไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
-แต่ถ้าดูจาก 2-3 เดือนที่ผ่านมา นโยบายมหภาคของจีนก็เปลี่ยนไปมาก
แม้จะเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่ก็ยังอยู่ในรูปแบบเดียว เพราะจีนมี option (ตัวเลือก) ที่จำกัด นานๆ ถึงจะมี unconventional option (ตัวเลือกที่แปลกไปจากเดิม) เหมือนที่เวลาไทยเกิดวิกฤตต้นยำกุ้ง หลายคนก็บอกว่าต้องเข้า IMF แต่มาเลเซียก็บอกว่าไม่เอา ใช้วิธี unconventional option ไม่เอา IMF แล้วใช้วิธีควบคุม ซึ่งคนก็บอกว่าอะไรวะ แต่ปรากฎว่าใช้ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาหลายครั้ง จะต้องมีตัวเลือกที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาของจีนเวลานี้ คงจะ unconventional option ไม่ใช่ง่ายนัก เพราะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แถมยังเป็น state capitalism คือรัฐทำหน้าที่เหมือน capitalism ซึ่งกลไกนี้ผมไม่เคยเห็นในประเทศไหน จีนอาจจะเป็นตัวยกเว้น แต่จะยกเว้นได้นานขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการแข่งขัน
-ที่อาจารย์ยกตัวอย่างญี่ปุ่นยุคหนึ่งที่เคยมี Japan Inc. แล้วจะมี China Inc. ได้หรือไม่
ผมไม่อยากคาดการณ์ แต่จะบอกว่าใน 10 ปีต่อไป ความรุ่งเรืองของจีนคงจะไม่ใช่ง่าย เพราะการรักษาอัตราการเจริญเติบโตแบบนี้ มันไม่มีเหตุผลในการอธิบาย ที่ผ่านมามีแค่เหตุผลว่าคุณได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในโลกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ไทยเคยเป็นตัวอย่าง ใครต่อใครย้ายฐานเข้ามา ทำให้เกิดการเจริญเติบโต ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ญี่ปุ่นก็เหมือนกันจากที่เคยขยันมาก ก็ upscale มาถึงได้ระดับหนึ่ง คู่แข่งก็ไล่มาจนติด เลยต้องใช้ฝีมือ ซึ่งฝีมือเรื่องเทคโนโลยี มันไม่ใช่เรียนได้ใน 1-2 ปี
-สมัยก่อนจีนส่งออกเยอะ แต่ก็เป็นเหมือนไทย คือเป็น OEM (การรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ตามแบบที่ลูกค้ากำหนด) ซะมาก ยังไม่มีแบรนด์ของตัวเอง
จีนถึงพยายามรักษาเงินสำรองระหว่างประเทศไว้ที่ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาชั่วคราว อีกส่วนคือเอาไปซื้อเทคโนโลยี ไปจ้างคนที่เก่งๆ หรือร่วมทุน แล้วไปดูว่าเทคโนโลยีของเขาเป็นอย่างไร นี่คือตัวอย่างที่จะต้องเขาจะต้องปรับตัว ซึ่งการปรับตัวมันจะมีต้นทุนทางการเมืองอยู่ คุณนึกออกว่า บริษัทที่ผลิตสินค้าระดับล่าง แต่ถึงวันหนึ่งปรากฎว่าจะต้อง lay off (เลิกจ้าง) คน เพื่อไปใช้เทคโนโลยี ซึ่งจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ดังนั้นการปรับระบบเศรษฐกิจ จะต้องมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจระดับหนึ่ง ดังนั้นแรงต่อต้านจากรัฐวิสาหกิจจะสูง แล้วต่อให้คุณปรับสำเร็จ เมื่อคนมีกินมีใช้ เขาก็จะก้าวไปเรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพ
-ว่ากันตามจริงเราก็นึกไม่ค่อยออกบริษัทเอกชนของจีนใหญ่ๆ นอกจากรัฐวิสาหกิจ
ทำไมโซเวียตมันถึงพัง ทั้งที่สมัยนั้นไปถึงโลกพระจันทร์ได้ เพราะโซเวียดนำเงินส่วนใหญ่ไปทุ่มด้านอาวุธ แต่ด้านอื่นไม่เก่งเลยไง สักพัก GDP เขาก็แย่ ในขณะที่ทุนนิยมขยายตัว ปี ค.ศ.1985 ถึงมีนโยบาย Perestroika and Glasnost ส่งสัญญาณให้กับพวกประเทศบริวารต่างๆ เช่น โปแลนด์ ว่าโซเวียดกำลังจะล้มละลาย เพราะระบบคอมมิวนิสต์มันมีเชื้อที่เรียกว่า “การขาดประสิทธิภาพ” เนื่องจากการปรับเรื่องประสิทธิภาพ มันก็จะไปกระทบกับการเมือง
-อีกด้านสหรัฐฯกำลังรุกเข้าในทวีปเอเชีย แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังมีภัยคุกคามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ภัยคุกคามจีนจะเป็นการ balance (สร้างสมดุล) เพราะสหรัฐฯต้องการความยิ่งใหญ่คืน ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองจนลง ดังนั้นจึงนำไปเน้นในปด.ที่ตัวเองมีความสำคัญ และนำพันธมิตรมาเป็นพรรคพวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งในทางเศรษฐกิจก็ยังต้องการตลาดในจีนอยู่ เป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯถึงรุกเข้ามาในพื้นที่ FTA ในทวีปเอเชีย นี่คือกลยุทธที่เริ่มเห็นชัด แต่จะไม่ไปต่อสู้ สหรัฐฯจะได้ประโยชน์แบบ win-win แต่กับจีนเอง จะต้องไม่ทำให้สหรัฐฯ รู้สึกว่าจีนแกล้งโง่ ไม่เช่นนั้นจะหาอะไรออกมาบีบ
ส่วนมุมด้านความมั่นคง ใน East Asia เองไม่มีปัญหาอะไร เพราะจีนเอง ก็ยังมีปัญหากับอีก 4 ประเทศ ได้แก่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน เรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ กับญี่ปุ่นและอินเดียก็มีปัญหากัน สหรัฐฯจึงไม่ต้องการความมั่นคงใน East Asia แต่ต้องการใน Asia-Pacific ดังนั้นนางฮิลลารี คลินตัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จึงใช้จุดนี้แทรกเข้ามา เพื่อ balance กับจีนด้านความมั่นคง
ถ้าคุณเรียนวิชาการเมืองระหว่างประเทศ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯคือต้องมีอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครมาจำกัด ทำให้เกิดภาวะ anarchy (อนาธิปไตย) เมื่อจะมีอำนาจ ก็ต้องมีพลังทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง
