คอป.ขุด 5 สาเหตุหลักรากเหง้าความขัดแย้ง 'โยงใย ซับซ้อน มีหลายตัวแสดง'
คอป.เตรียมส่งรายงานก่อนหมดวาระ เคาะรากเหง้าปัญหาความขัดแย้ง 6 ข้อ "อมรา" แนะห้ามชุมนุมไม่ใช่เสรีภาพ ด้านนักรัฐศาสตร์ แจงทำผิดต้องรับโทษ ย้ำนิรโทษกรรมไม่ใช่ปรองดอง
วันที่ 13 กรกฎาคม คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการ คอป. ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน จัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "รากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง" ณ ห้องชวนชม โรงแรมรามาการ์เด้นส์
โดยเป็นการนำเสนอและวิพากษ์ร่างรายงานการศึกษาวิจัยเรื่อง "รากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง" ซึ่งเป็นรายงานที่ได้สังเคราะห์มาจากงานวิจัย 5 โครงการก่อนหน้านี้ ได้แก่
1.โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย 2.การปฏิรูปองค์การด้านความมั่นคง 3.ความรุนแรงทางการเมือง พลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมและแนวทางแก้ไข 4.กระบวนการยุติธรรมกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรง ปัญหาและแนวทางแก้ไข 5.ขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้จะสรุปข้อมูลนำเสนอต่อสาธารณะชนต่อไป
รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย อ.รัฐศาสตร์ จุฬาฯ กรรมการ คอป.และหัวหน้าคณะผู้จัดทำร่างรายงานการศึกษาฉบับดังกล่าว ที่ผ่านการสังเคราะห์จากองค์ความรู้ของงานวิจัยทั้ง 5 โครงการข้างต้นนั้น พบว่า รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งที่ปรากฏเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในประเทศไทย ระหว่างเดือน เมษายนถึงพฤษภาคม 2553 นั้น อธิบายได้ด้วยความสัมพันธ์ของปัจจัยและเงื่อนไข 5 ประการ คือ
1.โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันของกลุ่มต่างๆ
2.บริบทของสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์
3.การบังคับใช้กฎหมาย
4.การจัดการด้านความมั่นคงและจิตสำนึกของทหาร
5.สื่อสารมวลชนในฐานะเครื่องมือผลิตซ้ำทางความคิด
ทั้งนี้ รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง เป็นปัจจัยที่โยงใยสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน ไม่มีมูลเหตุใดเพียงลำพังที่จะสามารถอธิบายว่า ทำไมสังคมจึงเผชิญกับความรุนแรงหรือสะท้อนความไม่มั่นคงทางการเมืองได้ดีที่สุด เนื่องจากความขัดแย้งมีการก่อตัวบ่มเพาะและปะทุเป็นวงจรต่อเนื่องยาวนาน มีตัวแสดงที่หลากหลาย สามารถสรุปได้ว่าสังคมไทยในอดีตมีความไม่เท่าเทียมกันเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสาเหตุหลักของความไม่เท่าเทียมเกิดจากปัจจัยหลัก 6 ประการ ได้แก่
1.ความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองและชนบท ที่มีการกระจายความเจริญอย่างไม่เป็นธรรม
2.ความแตกต่างระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม ที่มีสัดส่วนของรายได้แตกต่างกันมาก
3.การครอบครองทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะการครอบครองปัจจัยการผลิตซึ่งนายทุนเป็นผู้ถือครองอำนาจในการซื้อ
4.การกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม มีการกระจุกตัวความเจริญอยู่ในเมืองและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม
5.นโยบายและกลไกการจัดการของรัฐไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้ ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเพิ่มมากขึ้น
และ 6.การบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการตามหลักนิติธรรมที่ไม่เป็นธรรม โดยที่กระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาที่เกิดจากความคับข้องใจอันเนื่องมาจากวิถีวัฒนธรรมในการควบคุมสังคมและวิธีการจัดการความขัดแย้งภายใต้บริบทของสังคมวัฒนธรรมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ทั้งนี้ มีปัจจัยที่เป็นตัวตั้งเงื่อนไขให้พร้อมเข้าสู่ความรุนแรง (prompt mode) ได้แก่ 1.ความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบและก่อให้เกิด "กลุ่มทุนใหม่" เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม สื่อสารมวลชน ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมากจนแซงหน้า "กลุ่มทุนเก่า" เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน 2.การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
สำหรับข้อเสนอเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงและลดเงื่อนไขที่นำไปสู่การใช้ความรุนแรง ที่มุ่งป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นและไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว ควรกำหนดกติกาในการชุมนุมเรียกร้อง และควรใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในกรณีที่มีการชุมนุมทางการเมือง เพื่อจัดระเบียบการชุมนุมไม่ให้เกิดความรุนแรง
ทั้งนี้ ผู้นำการชุมนุมต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม ยุติการเคลื่อนไหวที่ก่อให้เกิดการยั่วยุ ส่งเสริมบทบาทของผู้นำชุมชนในระดับท้องถิ่นในการสร้างความสมาฉันท์ในระดับชุมชน ควบคุมสื่อมวลชนไม่ให้เป็นเครื่องมือในการผลิตซ้ำและกระตุ้นความรุนแรง และหัวหน้ารัฐบาลที่บริหารประเทศในขณะที่เกิดความรุนแรงควรแสดงการขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงรายงานฉบับดังกล่าวว่า อยากให้ทำความเข้าใจตรงกันว่า ความขัดแย้งไม่ใช่สิ่งเลวร้ายในสังคม การเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และทำให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่ๆ ระหว่างชนชั้น และการปรับตัวของกลุ่มต่างๆ ได้นำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง สร้างสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อความฮึกเหิมและรอให้สถานการณ์เกิดการสุกงอม นั่นหมายความว่ามีความตั้งใจให้เกิดความรุนแรงขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยมีตัวกระตุ้นสำคัญ คือ สื่อบุคคลและสื่อการเมือง
สำหรับข้อเสนอของรายงานที่ระบุว่าห้ามการชุมนุมนั้นไม่ใช่วิธีที่มีเสรีภาพ ฉะนั้น ต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์ใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับให้เข้าสู่เป้าหมายของสังคม
"ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมามีผู้พยายามที่จะให้เกิดภาวะสุกงอม แต่ก็มีคนพยายามดึงออกจากภาวะเผชิญหน้านั้นได้ ปรากฏการณ์นี้หมายความว่าสังคมเริ่มรับรู้ ปรับตัวและมีความก้าวหน้าขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสังคมก็ต้องปล่อยให้เดินหน้าต่อไปที่เราสะดุดหกล้ม เพราะมีคนพยายามสร้างความรุนแรงเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น ต้องช่วยกันปรับต่อไป ในเมื่อเราเคยผ่านระดับความรุนแรงในปี 2553 มาแล้ว ต้องกล้าที่จะยอมรับว่าได้ผ่านจุดนั้นมาแล้วและพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก"
ขณะที่ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงบทสรุปในรายงานของ คอป.ชิ้นนี้จะต้องยึดหลักที่ว่าความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขด้วยความรุนแรง จะต้องแยกแยะความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐ ความรุนแรงที่กระทำโดยเอกชนและประชาชน จะเห็นว่า คอป.ระบุการเยียวยาความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐโดยพูดถึงความรับผิดชอบ มากกว่าที่จะพูดว่าใครเป็นเหยื่อ ใครถูก ใครผิด ดังนั้น หากจะถอดสลักของปัญหาในอนาคต ต้องเสนอหลักการในการจำกัดบทบาทของกองทัพในการดูแลฝูงชนและเพิ่มแนวคิดในการปฏิรูปกองทัพ
"หลักการของ คอป.ต้องยึดว่าใครทำอะไรต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองทำ อย่าโยนให้เป็นการรับผิดชอบในอนาคต แต่การปรองดองที่ผ่านมากลับพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม สำหรับกรณี ม.112 คอป.ก็มีสิทธิเสนอให้มีการแก้ไขว่าพบปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม ต้องทำให้สังคมเห็นว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คอป.เปิด 5 ปมรากเหง้าความขัดแย้งสู่ปรองดอง
