“ดาบ 2 คม” กฎ Must-Carry ดูฟรีทีวีต้องจ่ายตังค์ -รายการดีๆ อาจ "หายจากจอ" ?
นักกม.ลิขสิทธิ์ชื่อดัง ชี้ กฎ Must-Carry ของ กสทช. นอกจากแก้ปัญหา “จอดำ” ได้ไม่ตรงจุด ยังอาจสร้างผลกระทบอื่น ตามมาเป็นโดมิโน โดยเฉพาะรายการดีๆ ทั้งบอลพรีเมียร์ลีกหรือซีรีส์ดัง ที่ผู้ชมต้องมานั่งลุ้นระทึก จะ "หายจากจอ" ไปหรือไม่ ...ทำไม?
แม้เหตุการณ์ “จอดำ” ฟุตบอลยูโร 2012 จะผ่านไปแล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้น?
ด้วยศัพท์แสงเทคนิคมากมาย ที่หลายฝ่าย โดยเฉพาะที่ฝ่าย บ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (มหาชน) หรือ GMM ยกขึ้นมาอ้าง แม้จะมีอีกฝ่าย ทั้งมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึง บ.ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กับ บ.อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS นำข้อมูลอีกด้านมาเสนอ แต่ยิ่งโต้แย่งกันก็ยิ่งมึน เพราะเต็มไปด้วยศัพท์แสงเทคนิค ไทยปนอังกฤษ วนเวียนวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเป็น สัญญาที่ GMM ทำกับสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) เป็นแบบ all rights หรือแบบ terrestrial กันแน่? ฝ่ายผู้บริโภคอ้าง GMM ซื้อสิทธิ์จาก UEFA มาแบบ all rights ต้องถ่ายได้สิ? ฝ่าย GMM แย้ง ถ้าเกิดสัญญาณล้น หรือ spill over แล้วมีคนฟ้องไป จะทำเดือดร้อน? และหากจะให้ TRUE กับเคเบิลทีวีถ่ายด้วยต้องไปขออนุญาตจาก UEFA ก่อน เพราะเป็น sub-license? ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งงง
ที่สุด คนกลางอย่าง “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)” ก็ต้องยื่นมือเข้ามาแทรก ด้วยการออกร่างหลักเกณฑ์ must-carry ขึ้นมาใช้ ก็ยิ่ง ...โอ้ว! มึน!!
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวอิศรา” เห็นปัญหาเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าว จึงเดินทางไปนั่งคุยกับ “นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ” ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายลิขสิทธิ์
ด้วย “คุณสมบัติพิเศษ” ของนักกฎหมายหนุ่มไฟแรงรายนี้ ที่นอกจากจะรอบรู้ ยังสามารถอธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ อีกด้วย
โดยขอนำเสนอในรูปแบบ “ศัพท์ที่ควรรู้” เกี่ยวกับเรื่องจอดำ พ่วงคำอธิบายเชิงวิชาการ
พร้อมด้วย “คำทำนาย” ถึงผลกระทบของกฎ Must-Carry ที่อาจทำให้คนดูฟรีทีวีไม่ฟรีจริงอีกต่อไป และอาจส่งผลให้รายการดีๆ บางรายการ หาดูไม่ได้อีกในประเทศไทย เพราะเหตุใด? ไปติดตามอ่านกัน...
-Standard Form (ข้อสัญญามาตรฐาน)
“สัญญาที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) กับ UEFA ขายให้ผู้ซื้อ จะเป็น standard form นั่นคือ ‘ข้อสัญญามาตรฐาน’ คือจะขายให้ผู้ซื้อจากแต่ละประเทศ ในแบบเดียวคือ all rights และจะขายไปองค์กรเดียว เหตุที่ต้องขายแบบ all rights ไม่ขายแยก เพราะจะยุ่งยากกับการบริหารจัดการสิทธิ์ แล้วจะมีปัญหาในการแย่งผลประโยชน์ อย่างลืมว่า FIFA กับ UEFA ไม่ให้ขายให้ไทยประเทศเดียว แต่ขายให้เป็นร้อยประเทศทั่วโลก”
-All Rights (ได้สิทธิ์ทั้งหมด)
“คือลักษณะสัญญาประเภทหนึ่ง แปลว่าผู้ซื้อไปจะได้สิทธิ์ในการถ่ายทอด ทั้งภาคพื้นดิน เคเบิลทีวี อินเตอร์เน็ต และสื่ออื่นๆ ทั้งหมด สำหรับฟุตบอลยูโร 2012 ที่ผ่านมา ผมได้ยินมาว่า GMM ได้สิทธิ์มาแบบ all rights ไม่ใช่แบบ terrestrial หรือให้ถ่ายทอดได้เฉพาะภาคพื้นดิน (ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมไม่ได้) เพราะถ้าได้เฉพาะ terrestrial มาจริงๆ ทำไมเคเบิลทีวีในเครือ CTH ถึงดูได้ โดยไม่เสียแม้แต่บาทเดียว กระทั่งเว็บไซต์ Mthai ก็ยังดูได้แบบผูกขาด
“ผมเคยไปออกรายการกับคุณวิชิต เอื้ออารีวรกุล อุปนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ก็บอกว่าเคเบิลในเครือ CTH ได้กล่องจาก GMM แล้วเผยแพร่เลย แต่สิ่งที่ GMM บอกกับทุกคนคือ เขาได้สิทธิ์เฉพาะภาคพื้นดิน คือทำสัญญาแบบ all rights จริง แต่ต้องขออนุญาตจากทาง UEFA อีกที ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะถ้าได้เฉพาะ terrestrial จริง ทำไม CTH ดูได้ ทำไม Mthai ดูได้”
-Black Screen (จอดำ)
“GMM ได้สิทธิมาแบบ all rights แต่มีปัญหาเรื่องการเจรจากับ TRUE กับเคเบิลทีวี PSI จนเซ็นสัญญาไม่ได้ แล้ว GMM ก็เลือกที่จะบล็อกสัญญาณ ทำให้ช่อง 3 5 และ 9 ที่ได้สิทธิจาก GMM ออกอากาศแบบอนาล็อก ได้ตามปกติ แต่กับทีวีดาวเทียมกลับมีการเข้ารหัส ทำให้จานต่างๆที่เคยดูดข้อมูลจากช่อง 3, 5 และ 9 ไปก็เป็นจอดำ ฉะนั้นปัญหาจริงๆ จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวสัญญา หรือสัญญาณ แต่อยู่ที่ข้อตกลงทางธุรกิจที่ GMM ตกลงกันคนอื่นๆไม่ได้ จนเป็นต้นเหตุของจอดำ”
-Charges (ค่าใช้จ่าย)
“การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ที่ผ่านมา เขาจะไปเก็บที่ร้านค้าหรือผู้ประกอบการ เช่น เก็บจากร้านอาหารที่มีการเผยแพร่ฟุตบอลโลก แม้แต่ช่อง 3 กับช่อง 7 ที่เคยประมูลมาก็ทำแบบนั้น แต่ของ GMM มันต่างจากกรณีอื่น คือเรียกค่าสิทธิ์ทางอ้อม ด้วยการขายกล่อง แล้วก็ charge เป็นค่ากล่องแทน”
-Spill Over (สัญญาณล้น)
“เรื่องนั้นมีปัญหาในทางเทคนิคในการป้องกัน
“ที่ผ่านมาเวลาปล่อยสัญญา FIFA กับ UEFA ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปัญหายกเว้นแต่มีคนร้องเรียน อย่างกรณี RS กับบอลโลก 2010 ที่มีการร้องเรียนว่าไปโผล่ที่อินเดียหรือกัมพูชา พอมีคนร้องไป FIFA ก็สั่งมายัง RS ว่าให้ล็อค เขาก็ล็อคแล้วปล่อย key”
-Sub-License (สัญญาช่วง)
“ตอนที่ผู้บริโภคฟ้องกับศาลปกคอรง GMM นำสัญญามาให้เฉพาะบางส่วน ซึ่งต้องดูทั้งฉบับถึงจะรู้ข้อเท็จจริง เพราะธรรมชาติของทั้ง FIFA และ UEFA จะเป็น standard form ให้ได้สิทธิ์มาแบบ All Rights โดยไม่ต้องมายุ่งอีกเลย ยกเว้นมีการทำ sub-license อาทิ GMM แบ่งให้ RS ช่วยจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย อันนี้คือโอเค อาจต้องขออนุญาต แต่การให้ TRUE หรือทีวีดาวเทียมอื่นช่วยถ่ายทอดด้วย มันเป็นการ pass-through (นำไปถ่ายทอดต่อ) ซึ่งไม่ต้องขออนุญาต ดังนั้นที่ GMM ถามไปยัง UEFA ว่าจะ sub-license หรืออนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ช่วง ให้ช่องทางอื่นๆ ด้วยได้ไหม มันคือการใช้ถ้อยคำกฎหมายที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจกับฝ่ายตัวเอง เพราะคำว่า sub-license ในสัญญาของ UEFA คือต้องแบ่งสิทธิ์จาก GMM ไปเลย ซึ่งเคยเกิดขึ้นกรณีช่อง 3 กับช่อง 7 ไปขอลิขสิทธิ์จาก UEFA มาในการถ่ายทอดฟุตบอลยูโร 2008 เนี่ย คือ sub-license แต่กรณีฟุตบอลยูโร 2012 มันไม่ใช่”
-ปัญหาระหว่าง GMM กับ TRUE และ PSI
“แต่ถ้าพูดกันตรงๆ GMM มีความฉลาดในการใช้ศัพท์แสงทางเทคโนโลยี กับถ้อยคำทางกฎหมาย ที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า เทคโนโลยีไม่สามารถบล็อกได้ แล้วการ sub-license ต้องขออนุญาตจากทาง UEFA ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่
“ปกติการซื้อสิทธิ์จาก FIFA หรือ UEFA จะเสียค่าใช้จ่าย ประมาณ 400-500 ล้านบาท
“การขายสิทธิ์ ถ้าเป็นกรณีฟรีทีวี GMM จะขอเปอร์เซ็นต์จากรายได้ค่าโฆษณา อาจจะ 60:40 70:30 ถ้าเป็นเคเบิลทีวี อย่าง CTH จะแลกเปลี่ยนเป็นช่องเพิ่มเติม โดยเอาช่องของ GMM เป็นการขยายฐานลูกค้า ส่วนของ TRUE เท่าที่ผลทราบอาจจะไปแบ่งสิทธิบางอย่างของ TRUE มา แต่เขาไม่ยอม”
-Boom (ทำให้โด่งดัง)
“โดยหลักที่ผมทราบมา GMM ต้องการจะขยายฐาน เสริมกับตัว CTH เพราะ GMM ต้องการบูมกล่อง GMMZ ให้เต็มที่ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งการขยายฐานลูกค้าของเขา คือผ่านฟรีทีวีให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของเขามากขึ้น ส่วนเคเบิลทีวีก็ขอเป็นช่องหรือแบ่งรายได้ เขาวางแพลนเรื่องนี้มาเป็นปีแล้วนะฮะ แต่ถ้าถามว่าทำไมดีลไม่ลง ถามว่า TRUE ผิดไหม ก็ผิดนะ เพราะตามกฎหมาย TRUE บอกว่าดูฟรีทีวีได้ แต่เมื่อดูไม่ได้ กสทช.ก็ต้องสั่งปรับ แต่ GMM การใช้สิทธิจริงๆ ผิดไหม โดยหลักคือไม่ผิด เพราะได้สิทธิจาก UEFA มาจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แต่อาจจะผิดในแง่เวลาบอกกล่าวกับคนทั่วไป ที่อ้างว่าต้องไปขอจากทาง UEFA ทั้งที่ในสัญญาเขียนไว้ว่ามันมีสิทธิอยู่แล้ว แต่ที่ GMM พูดแบบนั้นจะส่งผลอย่างไร ก็ต้องไปคิดกันต่อ
“(ถ้าแฟร์กับประชาชน GMM ต้องบอกว่าผมไม่ให้เพราะ..) ใช่ แต่ถ้าบอกว่า ผมไม่ให้เพราะเจรจาไม่ลงตัว ผมจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาคนทั่วๆ ไป เลยต้องอ้าง UEFA ไปเพื่อให้จบง่ายๆ"
-Must-Carry Rules
“อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องมาถึง กสทช.ว่าต้องมีกฎ must-carry แต่สาเหตุที่ต้องมีกฎนี้ เพราะ กสทช.ไม่มีอำนาจไปยุ่งเกี่ยวกับข้อตกลงของเอกสาร แล้ว กสทช.จะทำยังไงเพราะโอลิมปิกกับฟุตบอลโลก เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเสือกระดาษ จึงต้องออกมาเป็นนโยบายประชานิยม must-carry คือ “ไม่ว่าคุณกำหนดไว้ยังไง ไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นฟรีทีวีออกแล้ว ต้องดูได้ทุกช่องทาง” ซึ่งกฎเกณฑ์แบบนี้มันมีข้อดี 1.ทำให้ผู้บริโภคได้ดูมากยิ่งขึ้น 2.ผู้ประกอบการก็ออกได้ โดยไม่กลัวผิดกฎหมาย แต่ข้อเสียคือ การทำ must-carry แบบนี้ ในประเทศอื่นไม่มีใครเขาทำกัน
“เพราะหลักการที่ต้องเอาไปด้วย ในต่างประเทศเขาทำในท้องที่ๆ มันมีปัญหาเรื่องสัญญาณ แล้วฟรีทีวีเมืองนอก อย่างสหรัฐฯหรืออังกฤษ มันมีรายการไม่น่าสนใจเยอะ คนก็ขี้เกียจดู แต่มันเป็นความรู้ราชการ ดังนั้นบางพื้นที่ ที่มันอับสัญญาณ กฎหมายก็เลยบังคับเคเบิลท้องถิ่นให้เอาสัญญาณของฟรีทีวีไปด้วย เพื่อให้พื้นที่นั้นๆ ได้รับข่าวสารอย่างครบถ้วน
“ของเขาแก้ปัญหาเรื่องการอับสัญญาณ แต่ของเราเอามาแก้ปัญหาเรื่องข้อตกลงทางธุรกิจที่มันตกลงกันไม่ได้ ซึ่งมันเป็นการแก้ที่ ‘ผิดจุด’ "
-CL หรือ Compulsory Licensing (การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ)
“แล้วกฎ must-carry นี้จะมีปัญหา 2 อย่าง ส่วนแรก ถ้าบังคับเอาลิขสิทธิ์เขาไปออก หน่วยงานของรัฐที่บังคับ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย จริงๆ must-carry rules ตาม พ.ร.บ..ลิขสิทธิ์แปลเป็นไทยก็คือการอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบบังคับโดยภาครัฐ มันก็คือการ CL เรื่องสิทธิบัตรยา เวลาเป็นโรคเอดส์ โรคมะเร็ง เนื่องจากราคายาค่อนข้างแพง ดังนั้นใน พ.ร.บ.สิทธิบัตร ให้สิทธิว่ารัฐมีอำนาจในการแทรกแซง แล้วเอาสิทธิบัตรพวกนี้มาทำ โดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิด เพื่อให้ราคามันน้อยลง แต่หน่วยงานของรัฐที่สั่งจะต้องจ่ายเงินไปช่วยเหลือภาคเอกชนในเรื่องนี้ด้วย ฉะนั้นจึงมี 2 เรื่อง 1.กฎหมายเขียนไว้ 2.รัฐต้องจ่ายค่าตอบแทนคืนไป เพื่อชดเชยค่าเสียหาย แต่ปัญหาก็คือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ไม่มีเรื่อง CL ดังนั้นการที่ กสทช.ออกหลักเกณฑ์นี้มา หน่วยงานอะไร? จะเป็นผู้จ่ายค่าชดเชย กสทช.หรือเปล่า ก็ต้องไปคิดกัน
“ส่วนที่สอง มันมีกฎหมายขัดกันอยู่ 2 กฎหมาย คือ พ.ร.บ.กสทช.ที่ให้ออกหลักเกณฑ์นี้ได้ กับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ที่ป้องกันไม่ให้มาใช้ลิขสิทธิ์ของเขา ถ้าขัดกันอย่างนี้จะทำอย่างไร ซึ่งส่วนที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคฟ้องศาลปกครองขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้เปิดจอดำ ศาลก็ยังบอกว่า หน้าที่ของฟรีทีวี จะต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้ดูอย่างทั่วถึง โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน GMM ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีสิทธิ์ในการหวงกัน แล้วศาลปกครองที่แม้จะออกไปทางคุ้มครองผู้บริโภค ก็ยังเห็นว่า ที่ไม่สั่งให้เปิดจอดำได้ เพราะศาลกังวลว่า ถ้า UEFA ไม่พอใจ สั่งระงับสัญญาณ ทำให้คนไทยทั่วประเทศดูไม่ได้ มันเป็นความเสียหาย เกินกว่าที่ศาลจะเยียวยาได้
“ฉะนั้น ถ้าใช้กฎ must-carry จะต้องมีหลักเกณฑ์ 1.กสทช.ต้องจ่ายค่าทดแทนให้เจ้าของลิขสิทธิ์ 2.ต้องเพิ่มกฎกระทรวงใน พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์บางมาตรา ให้รองรับ must-carry ได้ โดยไม่ขัดกับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์”
-Non-Exclusive Lists (ลิสต์รายการห้ามฉายเฉพาะ)
“แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ กสทช.จะออกหลักเกณฑ์อีกอันตามมา นั่นคือ non-exclusive list คือรายการดังต่อไปนี้ห้ามผูกขาด ซึ่งร่างล่าสุดของเขาก็คือ รายการกีฬาต่างๆ จะมาใส่ไว้ว่าห้ามผูกขาด ซึ่งน่ากลัวมาก โดยเฉพาะถ้าเอาพรีเมียร์ลีกมาใส่เนี่ย เรื่องใหญ่เลย เพราะสมมุติ TRUE ได้สิทธิพรีเมียร์ลีกมาแล้วออกช่อง 3, 5, 7 หรือ 9 พวกที่ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ดูได้อย่างสบาย ปัญหาที่จะเกิด 1.ทำให้คนดูเคเบิลอย่าง TRUE น้อยลง เพราะดูผ่านฟรีทีวีได้อยู่แล้ว และ 2.ต้นทุนค่าลิขสิทธิ์จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะเดิมให้มาเฉพาะเคเบิลทีวี แล้วหามาตรการในการป้องกัน แต่พอมาขยายฟรีทีวี ปรากฏว่ามันบังคับว่าดูได้ทั่วประเทศ เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ต้องคิดเพิ่มค่าลิขสิทธิ์ เพราะมันดูได้ทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และหากสัญญาณล้นออกไป อย่าง C-Band มันใช้ได้ 22 ประเทศทั่วโลก ถ้าใช้วิธีเข้ารหัสกล่องที่ซื้อก่อนปี 2553 บางกล่องก็จะดูไม่ได้
“จากจุดเล็กๆ มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถามว่า กสทช.ทำดีไหม ถ้าพูดตรงๆ คือ ประชานิยมเอาใจผู้บริโภค ถ้าไปซาวน์เสียง ผู้บริโภคแฮปปี้แน่นอน ผู้ประกอบการก็แฮปปี้ โดยเฉพาะพวกเคเบิลทีวี จากเดิมที่เวลาจะเอางานจากฟรีทีวี กลัวละเมิดลิขสิทธิ์ นี่กลายเป็นบอกว่าถูกต้องตามกฎหมาย คุณทำได้เลย ส่วนกลุ่มที่ไม่แฮปปี้คือเจ้าของลิขสิทธิ์ แทนที่จะมีรายได้จากฟรีทีวี กลายเป็นว่าเขาเจอกฎ must-carry แบบนี้ก็หมดเลย
"ตรงนี้ กสทช.ตอบคำถามไม่ได้ ซึ่งผมคุยกับคุณสุภิญญา (กลางณรงค์ กรรมการ กสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์) แกก็บอกว่ายังไง กสทช.ก็จะผลักให้ must-carry ผ่านให้ได้ คือประชาพิจารณ์วันที่ 16 ก.ค.นี้ ที่โรงแรมเซ็นจูรีปาร์ค แล้ว 18 ก.ค.จะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ยังไงก็จะให้ผ่าน ถ้าไม่พอใจไปฟ้องศาลปกครอง ซึ่งเขาเชื่อว่า ศาลปกครองจะคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่า นี่คือแนวของกสทช. แต่ผลกระทบมันเป็น Dominos”
(อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายลิขสิทธิ์)
“10 คำถาม” กับ อ.ไพบูลย์ ต่อข้อห่วงใย กฎ Must-Carry
@ ทำไมกสทช.ต้องออกนโยบายประชานิยม 2 เรื่องนี้ด้วย
ฟุตบอลยูโร โอลิมปิก และฟุตบอลโลก เป็นวาระแห่งชาติ ต้องทำให้ดูให้ได้ ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ คนก็จะมองว่าหน่วยงานของรัฐหรือ กสทช.ไม่มีน้ำยา ดังนั้นสิ่งที่ กสทช.ทำคือ ในเมื่อล้วงลูกไมได้ ก็ห้ามเสียเลย ซึ่งจริงๆ ในแง่โครงสร้างถูกไหม เจตนารมณ์เขาดีนะ แต่วิธีการไม่ถูกต้อง อย่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่เหมือน กสทช.ในสหรัฐอเมริกา เขามีหน้าที่ดูเรื่อง infrastructure (สาธารณูปโภค) กับโครงสร้าง แล้วจะไปล้วง content (เนื้อหา) เฉพาะเวลาที่ผิดกฎหมาย พูดง่ายๆ คือ กสทช.ต้องดูฮาร์ดแวร์กับระบบ ส่วนซอฟท์แวร์ให้มันออกยังไงก็ได้ หากไม่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อเอกชนตกลง content กันไม่ได้ กสทช.กลับรวบรัดเลย ผมไม่สนใจคุณเจรจากันยังไง แต่ถ้าผ่านฟรีทีวีเมื่อไรต้องดูฟรีทั่วประเทศ แต่เมื่ออกมารูปนี้ ก็ต้องดูผลในระยะยาว
@ กฎนี้จะทำลายธุรกิจการถ่ายทอดรายการที่ต้องซื้อลิขสิทธิ์หรือไม่
ถ้าทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติ คงจะไม่ เพราะผู้ประกอบการ ถ้าเขารับต้นทุนเพิ่ม เขาก็จะหาวิธีผลักให้กับผู้บริโภค จะออกเป็นค่าอะไร ค่ากล่องไหม หรือวิธีหารายได้ส่วนอื่น ผมคิดว่าเขาจะหาวิธีดีไซน์
หลักคิดและเจตนารมณ์ กสทช.ไม่ผิด ในการคุ้มครองผู้บริโภค แต่วิธีการมันไม่สอดคล้องกับระบบ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง จริงๆ เขาน่าจะไปคุมสัญญามากกว่า ว่าถ้าเป็นสัญญาซื้อขายหรืออนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์หากมีผลกระทบต่อคนในวง กว้าง กสทช.มีสิทธิจะเข้าไปแทรกแซงคู่สัญญา ในการดู rate และหาวิธีไม่ให้กระทบกับคนทั่วไป ออกหลักเกณฑ์แบบนี้น่าจะง่ายกว่า ดีกว่าออก must-carry rules ที่ประกาศแล้วมันยาว ต่างจากที่ผมบอก ซึ่งเป็นเฉพาะครั้งๆ ไป เช่นรายการของญี่ปุ่นที่ออกมาแสดงท่าทีต่างๆ หรือละคร ซีรีส์ เกาหลี ฮ่องกง บิ๊กซินิม่า จะมีปัญหาหมดเลย ทันทีที่ใส่เข้ามา กฎ must-carry มันคือ CL ที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
@ แก้แล้วอาจจะมีก๊อก 2 ก๊อก 3 ตามมา
แน่นอน 1.จะถูก challenge (ท้าทาย) ยกข้อต่อสู้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2.ขัดต่อกฎหมายลิขสิทธิ์ไหม เพราะ พ.ร.บ.ลิขสิทธิไม่ได้ให้อำนาจในการทำ CL ลิขสิทธิ์ได้ 3.ค่าตอบแทน เพราะกฎ must-carry มันต้องมีค่าตอบแทนตามมาแน่ 4.ใครเป็นคนรับผิดชอบต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
@ เกม Dominos นี้ใครได้ประโยชน์สูงสุด GMM ก็สบายไปแล้ว
ใช่ ผมมองว่าเคเบิลทีวีสบาย เพราะจะมีหรือไม่มีเขาก็ดูดอยู่แล้ว พอเขียนกฎนี้ขึ้นมา ก็เริงร่า รองรับว่าทำถูกกฎหมาย
@ ฟรีทีวีไม่วินเหรอฮะ ได้ฐานคนดูเพิ่มขึ้น
ฟรีทีวีก็กระทบนะ เพราะมีส่วนในลิขสิทธิ์เหมือนกัน แทบที่จะผูกขาดเฉพาะช่องเขา ปรากฏว่ามันถูกแบ่งไป แล้วแทนที่ฟรีทีวีจะได้เรตติ้งจากกีฬาช่วงนั้น มีเงินค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น กลายเป็นก็แขยงกลัวถูกเคเบิลทีวีดึงมาใช้ เมื่อวานก็คุยกันด้วยว่า ถ้าพรีเมียร์ลีกเป็น must-carry และ non-exclusive จะเป็นเรื่องใหญ่เลย เพราะเป็นลิขสิทธิ์ที่แพงมาก ถ้ามาแบ่งในฟรีทีวีแล้ว must-carry ก็เรื่องใหญ่ เพราะอย่าลืมว่าห้ามล็อคสัญญาณ ดังนั้นประเทศเพื่อนบ้านก็ดึงไปถ่ายทอดได้เลย ไม่ต้องซื้อลิขสิทธิ์
@ ผู้บริโภคอาจจะมองแค่ว่า เอาให้ได้ดูก่อน ดีหมดแหล่ะ
ผมซาวน์เสียงมาทุกคนเห็นด้วยหมดเลย คุณสุภิญญาเขามองว่ามันก็ดูดกันอยู่แล้ว กสทช.ก็แค่มาทำให้ถูกกฎหมายเท่านั้นเอง
@ คนดูอาจจะยังไม่รู้เรื่องผลกระทบ
ต้องจ่ายมากขึ้นแน่นอน เพราะทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เมื่อต้นทุนสูงขึ้น รายการดีๆอาจจะหายไป แล้วราคามันต้องสูงแน่เพราะถูกบวกต้นทุน ที่ผ่านมาเวลาปล่อยสัญญา FIFA กับ UEFA ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปัญหายกเว้นแต่มีคนร้องเรียน อย่างกรณี RS กับบอลโลก 2010 ที่มีการร้องเรียนว่าไปโผล่ที่อินเดียหรือกัมพูชา พอมีคนร้องไป FIFA ก็สั่งมายัง RS ว่าให้ล็อค เขาก็ล็อคแล้วปล่อย key
@ หาก must-carry ถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายจริง ผู้บริโภคจะโดนเก็บทางตรงทางอ้อมอย่างไรได้บ้าง
ค่าโฆษณาทางทีวีที่สูงขึ้น ทำให้เอเจนซี่อาจจะ charge สูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน นี่คือระยะสั้นที่อาจเห็นผลไม่ชัด แต่ในระยะยาว เมื่อเราเปลี่ยนถ่ายไปสู่ดิจิตอลทีวี ทุกค่ายมีกล่องของตัวเอง มันจะผลักไปลงกล่องแน่นอน เป็นค่าบำรุงรักษา ค่าบริการ เพื่อเอาไปทดแทนส่วนที่มันขาดหายไป สมมุติพรีเมียร์ลีก อาจจะซื้อมาพันกว่าล้าน ถ้ามี must-carry ก็อาจจะคิด 2-3 พันล้าน พอเขาซื้อมาแพง ค่าบริการจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งหากเพิ่มไม่ได้เพราะ กสทช.กำหนดเพดานไว้ ก็ต้องไปเป็นค่าบำรุงรักษาค่าอื่นๆ เหมือนที่กฎหมายเขียนไว้ว่าห้ามคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตเกิน 15% แต่พวก non-bank ก็คิดเกินตลอด แต่เปลี่ยนเป็นค่าติดตามหนี้ ค่าเดินทาง ค่าพาหนะ คือเขาจะ design ให้สุดท้ายคนจ่ายคือพวกเรา
@ ผลกระทบต่อ content ที่บอกว่ารายการดีๆจะหาย
ถ้าราคามันสูงเกินไป เพราะต่างชาติกลัวเรื่อง must-carry ที่แปลว่าเคเบิลทีวีดึงไปได้ใช้ไหม การละเมิดทางอินเตอร์เน็ตและสื่ออื่นๆ จะมากยิ่งขึ้น พอเขาเห็นความเสี่ยงว่าประเทศไทยมีเรื่องนี้ ก็อาจจะไม่ให้สิทธิ์ซีรีส์หรือรายการต่างๆ เพราะกลัวเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์
@ คอซีรีส์เกาหลีอาจมีเสียว
ผมมองว่าในเอเชียพอคุยกันได้ แต่ซีรีส์ใหญ่ๆ จะมีปัญหา
ถามว่าโอลิมปิกได้ดูไหม ได้ดูแน่นอนอยู่แล้ว เพราะช่อง 11 ก็ยืนยันว่าดูได้ TRUE ก็ได้สิทธิผ่าน ESPN มา มันไม่มีปัญหา บอลโลก 2014 ทาง RS ก็บอกว่าดูได้ ไม่มีปัญหา เพราเขาต้องการจะทับ GMM อยู่แล้ว แต่เขาจะไปไล่เก็บเงินกับผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภค ฉะนั้นจังหวะที่ GMM เพลี่ยงพล้ำ RS ก็ต้องชูตัวเองขึ้นมา เฮียฮ้อก็เลยบอกว่า โอ้ย ดูฟรีอยู่แล้ว แต่ถ้าซื้อกล่องก็จะได้ดูลาลีกาเพิ่มเติม