10 คำถามกับ “คณิต ณ นคร” ก่อนวาระสุดท้าย คอป. บทสรุป "ปรองดอง หรือ ปรองเดี้ยง?"
EXCLUSIVE! ถาม-ตอบ กับ “คณิต ณ นคร" ประธาน คอป.ในโอกาสครบวาระ 2 ปี มีหลายเรื่องน่าสนใจ ทั้งให้สรุปว่า คอป.ทำงานสำเร็จหรือล้มเหลว? ความเห็นต่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ศิษย์ก้นกุฎิที่ถูกวิจารณ์จนอ่วม รวมไปถึงสายสัมพันธ์ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ที่เขาเคยวิจารณ์ว่า เหมือนกับอดีตผู้นำเผด็จการนาซี !
“นายคณิต ณ นคร” เป็นคนหลายมิติ ไม่เพียงรอบรู้ด้านกฎหมายแตกฉาน ยังเข้าไปมีมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญๆ ของบ้านเมือง หลายครั้ง
ทั้งเป็น “อัยการสูงสุด” ผู้สั่งไม่ฟ้องคดี ส.ป.ก.4-01 ปลดล็อกหนามยอกใจ "พรรคประชาธิปัตย์"
ร่วมก่อตั้ง "พรรคไทยรักไทย" กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ก่อนจะลาออกในภายหลัง
และยังไปอยู่ใน “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ที่ตั้งขึ้นมาแก้ปัญหาความขัดแย้ง หลังจลาจลกลางเมืองกลางปี 2553 แต่กำลังจะหมดวาระ หลังทำงานครบ 2 ปี ในวันที่ 16 ก.ค.2555
ด้วยความเจนจัด พ่วงประสบการณ์ที่อัดแน่น ทำให้ “สำนักข่าวอิศรา” บุกไปนั่งคุยกับชายวัย 75 ชายผิวเข้ม-แว่นหนา ผู้ดูคงแก่เรียนคนนี้ถึงห้องทำงาน เพื่อซักไซ้ไล่เรียงหลายๆ ข้อสงสัย
ก่อนประมวลมาเป็น “10 คำถามสำคัญ” ที่สังคมยังอาจคลางแคลงใจ
ทั้งการทำงาน คอป.ตลอด 2 ปี ที่ดูไม่ประสบความสำเร็จ, ความเห็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศิษย์เอก ชื่อ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสบสวนคดีพิเศษ, บทบาทของอัยการรุ่นน้องๆ ที่มีพฤติกรรมหลายเรื่องชวนให้คนสงสัย, ความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่จุดชนวนความขัดแย้งขึ้นมาอีกรอบ
รวมไปถึงความสัมพันธ์กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ที่เขาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับ “อดอร์ฟ ฮิตเลอร์” ผู้นำเผด็จการนาซี ที่สั่งสังหารคนเป็นเบือ เพียงเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเอาไว้...
1) 2 ปี คอป.ได้ทำอะไรให้กับสังคมบ้าง? แล้วคิดว่าที่ผ่านมา ทำงานสำเร็จหรือล้มเหลว
“เราก็พยายามฟังปัญหาจากทุกภาคส่วน แล้วนำมาเป็นพื้นฐานในการจัดทำข้อเสนอแนะ ที่ผ่านมาเราก็เสนอไปหายเรื่อง สิ่งไหนที่เราคิดว่าจะสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อดูว่าหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทำถูกต้องกับหลักวิชาแค่ไหน เพราะที่ผ่านมามีการทำอะไรที่ไม่ตรงกับหลักวิชาเยอะมาก ก็เลยทำให้ปัญหายืดเยื้อ นี่คือสาระที่เราพยายามทำกันอยู่ อีกส่วน เราก็หาช่องทางที่จะระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงตามมาอีก แต่ละครั้งก็อกสั่นขวัญแขวนอยู่เหมือนกัน แต่หลายๆ เหตุการณ์ก็พิสูจน์ว่า สังคมต้องการความสงบ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
“แต่หลายเรื่อง เราต้องช่วยกัน เพราะ คอป.ก็ทำได้ในบริบทที่จำกัด ทั้งสื่อ ประชาชนทั่วไป และนักการเมือง จะต้องช่วยกันประคับประคอง ให้มันอยู่ในกติกาที่ดี
“สิ่งที่ผมเสนอไป ผมคิดว่ามันเป็นผลดีต่อส่วนรวมทั้งสิ้น จะขับเคลื่อนอย่างไรก็แล้วแต่รัฐบาล ถ้าเร็วได้ก็ดี ลด ละ มองประโยชน์ส่วนรวมให้เยอะซะหน่อย ก็จะทำให้สามารถเข้าสู่สันติได้”
2) ข้อเสนออะไรที่อยากให้ทำ แต่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่กล้าทำ หรือไม่ยอมทำ?
“ที่เราพัฒนาการเมืองไม่ได้ ทั้งที่อยากได้ประชาธิปไตยกันมาก เพราะสิ่งที่เราปฏิบัติ มันไม่ค่อยมีหลักเกณฑ์เป็นประชาธิปไตย หลายเรื่องใช้เสียงข้างมาก โดยไม่ฟังเสียงข้างน้อย ไม่มีประเทศไหนที่ใช้เสียงข้างมากมา overrule (ครอบงำ) ทุกเรื่อง แน่นอนว่า เราต้องใช้เสียงข้างมากตัดสิน แต่ก็ควรให้เสียงข้างน้อยได้มีโอกาสพูดจาบ้าง แต่พบว่าหลายเรื่องมีการใช้เสียงข้างมากอย่างไม่ถูกต้อง เหมือนกับการแก้ไขกฎหมายก่อการร้าย โดยใช้ พ.ร.ก.
“การใช้ พ.ร.ก.มาแก้ประมวลกฎหมายอาญา เขาไม่ทำกัน ที่สำคัญตัวกฎหมายก่อการร้ายยังขาดความชัดเจนแน่นอน โทษก็แรงเกินเหตุ เพราะการก่อการร้าย มันคือการตั้งสมาคม เป็นความผิดที่ต้องป้องกันไม่ให้สมาชิกสมาคมไปก่อเหตุ แต่ถ้าก่อเหตุแล้วส่งผลร้ายแรง มันมีกฎหมายอื่นลงโทษอยู่แล้ว เช่น ข้อหาฆ่าคนตาย ทำให้กฎหมายก่อการร้ายประเทศอื่น โทษจะเบา ต่างกับประเทศไทย ที่มีโทษถึงประหารชีวิต มันก็เลยผิดหลักนิติธรรมไปหมด
“ผมก็เสนอให้รัฐทบทวน ยกเลิก ทำใหม่ดีไหม เอาสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ตอนนี้เราเหวี่ยงแห ตั้งข้อหาก่อการร้ายมั่วไปหมด ไม่ใช่ไม่มี มันมี แต่ผมคิดว่าควรเลิก แล้วออกกฎหมายกันใหม่ ให้ทำกันใหม่ให้รอบคอบ แล้วการใช้กฎหมาย
“แต่รัฐบาลนี้ไม่เห็นออกอะไรเลย ผมก็เสนอไป แต่ก็เข้าใจนะว่าเขาคงไม่กล้าทำ เพราะทุกคนจะรักษาฐานการเมืองกันไปหมด มันไม่ได้มองประโยชน์ของส่วนรวม อย่างจริงๆ จังๆ ก็เลยอย่างเนี้ย ผมเสนอไปตั้งหลายเรื่อง ทั้งแก้กฎหมายก่อการร้ายและแก้ประมวลอาญา มาตรา 112 เรื่องหมิ่นสถาบัน แต่ไม่มีใครพูดถึงเลย ไปพูดกันเรื่องอื่นหมดเลย”
3) อย่างเรื่องแก้มาตรา 112 ทั้งที่มวลชนเสื้อแดงเรียกร้องกันมา แต่ทำไมรัฐบาลชุดนี้ไม่ทำ ได้วิเคราะห์หรือไม่
“เขาคงมองแง่การเมือง ไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมเสนอ มันเป็นประโยชน์ระยะยาว ไม่ใช่แค่ประโยชน์ระยะสั้น แต่การเมืองเขามองระยะสั้น คิดแต่เรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้า จะทำอย่างไรให้ได้กลับมาอีก ทั้งที่การแก้ปัญหามันต้องมองระยะยาว และต้องกล้าด้วย กล้าที่จะทำ อย่างในประเทศเยอรมัน ในสภาเข้มแข็งมาก แล้วเขาก็เคารพเสียงข้างน้อย คณะกรรมาธิการชุดสำคัญๆ บางคณะ เขาก็ให้ ส.ส.เสียงข้างน้อยเป็นประธาน เพื่อให้เกิดความสามัคคี แต่ของเรายึดแต่โควตา นี่ของเขาไปไกลขนาดนี้แล้ว แต่ของเรายังต้วมเตี้ยมเป็นเต่าอยู่
“ผมเข้าใจว่าธรรมชาตินักการเมืองจะคิดถึงคะแนนเสียงเป็นหลัก แต่ขอให้ลดได้ไหม เพราะสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ปกติ สถานการณ์มันรุนแรง ถ้าปกติจะไม่ว่าอะไรเลย แต่สถานการณ์แบบนี้ มันต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น”
4) อีกด้านคือ คอป.อาจถูกมองว่า take side (เข้าข้าง) ฝ่ายใดด้วยหรือเปล่า เลยทำให้ไม่ได้ร่วมความร่วมมือเต็มที่
“ผมไม่เคยทำงานเพื่อใครทั้งสิ้น สมัยผมเป็นข้าราชการทำงานเพื่อส่วนรวม ยิ่งกว่านั้นอีก ผมเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ผมเอาภาษีพวกคุณไปใช้ จะมาทำให้เสียหายทำไม ผมคิดไม่ใช่เหมือนคนอื่นนะ แล้วผมอยู่ในหน่วยงานไหน ผมอยู่ตลอดนะ ผมไม่เคยหนีไหน บางคนพอใช้ทุนเสร็จก็ปัดก้น บางคนก็ไปภาคธุรกิจ แต่ผมไม่นะ ผมรับใช้ประเทศชาติในหน่วยงานนี้ จนกระทั่งผมเกษียณ พอเกษียณก็อีกเรื่องหนึ่ง ในขณะเดียวกันผมก็สอนหนังสือ ซึ่งเป็นการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
“นโยบายรัฐบาลเราก็ต้องทำตาม แต่ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง โดยภารกิจหน้าที่ของเรา ไม่ใช่รัฐบาลบอกว่า เรื่องนี้อย่าไปสั่งฟ้องคนนี้มันเป็นไปไม่ได้ การอำนวยความยุติธรรม มันจะไปตามบุคคลไม่ได้ แต่กับรัฐบาลเราต้อง alert (ตื่นตัว) ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ครั้งหนึ่งมีคนไทยถูกจับที่เขมรและพม่า โดนขังคุกอยู่ แล้วก็มีคนเขมร คนพม่า มาจับปลาในน่านน้ำเรา รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศมาบอกว่า จะสั่งไม่ฟ้องคนต่างประเทศที่เข้ามาทำผิดนี้ได้ไหม เพื่อแลกกับพวกเราที่ไปตกระกำลำบาก ผมก็นั่งคิดแล้วก็สั่งให้ อันนี้จะเรียกว่าผมทำงานตามนโยบายรัฐบาลก็ได้ แต่นโยบายนั้นต้องเกิดมรรคเกิดผลต่อสังคม”
5) ในฐานะอดีตอัยการสูงสุด มองท่าทีของอัยการรุ่นหลังอย่างไร เพราะถูกวิจารณ์ว่ามักจะดูทางลม คดีใดที่เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้องผู้มีอำนาจมักจะสั่งไม่ฟ้อง
“คนเป็นอัยการ ไม่ใช่สักแต่ว่าผิดแล้วฟ้อง ต้องมองอย่างอื่นด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราพูดกันใน คอป.ว่า ที่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน แต่มันต้องดูเป็นรายกรณีไป
“เราไม่รู้ข้อเท็จจริงในคดี อาจจะเป็นความรู้สึกว่า ทำไม่ถูก เขาอาจจะทำถูกก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่คดีที่ศาลอุทธรณ์เห็นแย้งกับศาลชั้นต้น แล้วอัยการสูงสุดไม่ฎีกา (คดีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก ถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงจ่ายภาษีขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป) อย่างนี้ถึงเห็นชัด ไปหยุดได้ยังไง ถ้าเป็นผม ผมไม่หยุด มันหยุดไม่ได้ จะต้องขึ้นไปฎีกา ถ้าเราจะไม่ฎีกา มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้
“กระบวนการยุติธรรม เรื่องความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเขาไม่เชื่อถือสักครั้ง ก็แย่แล้ว”
6) คนในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าตำรวจ อัยการ และศาล ต้องถูกตรวจสอบได้ สังคมถึงจะเชื่อถือ
“ถ้าเป็นผมอยู่ ผมจะต้องคิดอย่างรอบคอบ ถ้าจะไม่ดำเนินการ ผมจะต้อชี้แจงต่อสาธารณชนให้รู้ด้วย แล้วสมัยผมเป็นอัยการสูงสุด ผมไม่เคยหนีนักข่าวนะ แต่เดี๋ยวนี้อธิบดี ปลัด เข้าหายากนะ แต่สมัยผมเป็นอัยการสูงสุด ห้องทำงานผมเปิดตลอด แล้วผมยังพูดกับนักข่าวว่า การที่พวกคุณสนใจการทำงานของผม ทำให้ผมสบาย เพราะผมมีตาสัปปะรดคอยดูแลผมอยู่ ทำให้ผมจะออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ มันควรจะเป็นอย่างนั้น
“เทียบกับสมัยนี้ เข้าถึงยากมาก (เน้นเสียง) เว้นแต่ เรื่องที่ยังไม่มียุติ ผมไม่อาจให้สัมภาษณ์ แต่เรื่องไหนชี้แจงได้ ผมจะชี้แจง แล้วในระเบียบผม ผมเขียนไว้ว่าทุกคนสามารถมาขอคัดคำสั่งไม่ฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ผมทำงาน ผมโปร่งใส จะได้สำรวจตัวเอง ถ้าคุณวิจารณ์ทำงานผม ผมจะได้มาคิดว่าผิดไหม ควรปรับปรุงหรือเปล่า มนุษย์เรามันผิดพลาดได้นะอย่าลืม ไม่ใช่เทวดา เทวดาก็ยังผิดมั้ง (หัวเราะ) นี่ผมทำงานอย่างนี้”
“เราจะต้องไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งกับเรา แต่ไม่ใช่ไม่สนใจการเมืองเลย บางครั้งเราต้องดูแหมือนกัน จะทำงานแบบมะลื่อทื่อ มันก็ไม่เกิดผลดี การใช้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหา ถ้าใช้แล้วสร้างปัญหา แสดงว่าผู้ใช้ไม่ได้เรื่อง อันนี้มันอธิบายกันยาก และปฏิบัติการยากด้วย เพราะมนุษย์เรามันอยากใหญ่ เป็นอัยการมีคนนับหน้าถือหน้า เป็นผู้พิพากษามีแต่คนเรียกว่าท่าน”
7) กับคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่เคยทำงานรู้มือรู้ไม้กันมาก่อน แต่ระยะหลังเจ้าตัวถูกวิจารณ์ว่าเปลี่ยนสี และเป็นคนพูดเองว่า ข้าราชการต้องทำตามนโยบายรัฐบาล เชื่อเสียงวิจารณ์ต่อตัวคุณธาริตที่เกิดขึ้นหรือไม่
“ธาริตเขาเคยทำงานกับผม ตลอดเวลาที่เป็นอัยการสูงสุด เขาเป็น staff (ทีมงาน) หน้าห้อง คุณกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน ก็อยู่กับผมมาก่อน ผมเลือกคนเก่งมาทำงานนะ ทั้งเก่งและดีด้วย แล้วพอพวกเขามาทำงานด้วย ผมสบาย อย่างธาริตเนี่ย ตอนสมัยอยู่ด้วยกัน ดูแลคดีต่างๆ เขาทำงานรอบคอบ มีอะไรก็ดูแลอย่างดี
“วิธีทำงานผมไม่เหมือนคนอื่น ผมทำงานให้เกียรติลูกน้อง ผมพูดตลอดว่า งานผมที่สำเร็จได้เป็นงานของพวกคุณ เพราะเขาทำงานน่ะ แล้วพวกนี้อยู่กับผมนะ 2 ขั้นทุกปี ซึ่งมันก็ข้ามหัวคนไปพอสมควร แต่เวลาใครมาถาม ผมก็จะย้อนว่า เขามีงานไหม มี เอ้า แล้วคุณจะมาริษยาทำไม ก็เงียบหมด ผมทำงานอย่างนี้
“เสียงวิจารณ์ธาริต ผมไม่รู้รายละเอียด แต่ผมไม่เชื่อนะ เพราะเท่าที่ประสบมา ไม่เชื่อว่าเขาจะทำอย่างนั้น เท่าที่เรารู้จักกัน คือการเมืองมันก็มองข้าราชการอย่างนี้แหล่ะ มองว่าจะหวั่นกับนักการเมือง แน่นอนตำแหน่งแกสำคัญ แล้วดูสิว่าเขาเคยไปว่าใครรึเปล่า แต่ผมให้ความเป็นธรรมกันเขานะ เราต้องดู ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนรัฐบาล ไปทางโน้นหน่อย”
8) คนบางส่วนมองว่าอาจารย์เป็นประชาธิปัตย์ เพราะไม่ฟ้องคดี ส.ป.ก.4-01 ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงการสั่งไม่ฟ้องเป็นอย่างไร
“ส.ป.ก.4-01 ผมระมัดระวังอย่างมาก ที่จะไม่ยุ่งให้การเมืองเขาเสียหาย เพราะตอนนั้นกำลังจะเลือกตั้ง หลักที่ผมเรียนมามันไม่มี อัยการจะสั่งคดีที่มีผลต่อการเลือกตั้งอย่างไร มันไม่มีหลักอะไรที่ผมยึดเลย ผมอุตส่าห์ให้รุ่นน้องที่จบจากสหรัฐฯ เขียนไปถามอาจารย์เขาว่าควรจะทำอย่างไร เขาตอบว่าไม่มี แต่ควรจะสั่งเมื่อการเลือกตั้งพ้นไปแล้ว แต่ถ้าสถานการณ์อย่างนี้ เท่ากับเอาเสรีภาพคนไปแขวน เขาไม่ไม่รู้ว่าจะออกหมู่ออกจ่า
“แต่ผมก็เลยสั่งไป เมื่อทำแล้วก็ปรากฏว่าพรรคพลังธรรมของคุณทักษิณ ได้คุณสุดารัตน์เป็น ส.ส.คนเดียวในกทม. ปชป.มาเป็นกระตั๊กเลย ผมถูกกล่าวหาอีก เพราะผมเป็นคนใต้ เนี่ยมันยุ่งไปหมด
“อย่าง ส.ป.ก.4-01 ผมก็ถูกกล่าวหาเป็นปชป. ผมก็บอกว่า เห้ย ผมจะเป็นปชป.ได้ยังไง คุณชวน หลีกภัย สมัยเป็นนายกฯ ยังไล่ผมออกจากห้องเลย ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่กลายเป็นดีนะ เวลาใครหาว่า ผมเป็นประชาธิปัตย์ ผมจะอ้างว่า นายกฯชวนยังไล่ผมเลย มันก็เบาลง
“เหตุที่ผมสั่งไม่ฟ้อง เพราะมันไม่มีหลักฐาน ส.ป.ก.ความจริง เขาให้ที่กับคนจน แต่บางคนเนี่ย ต่อมาเขารวยขึ้น แล้วเป็นความผิดเขาเมื่อไรล่ะ อย่าง จ.ภูเก็ตเห็นชัด ผมรู้จักเกือบหมด แต่ก่อนไม่ใช่นายหัวนิ ระยะหลังที่ดินมันแพงขึ้น แล้วข้าราชการเขาก็เข้าใจว่าอย่างงั้น เพราะไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องฟ้องข้าราชการทุกคน มันก็หวั่นไหวไปหมด แล้วผมไม่ใช่ทำงานชุ่ยๆ ผมให้รองอัยการสูงสุด มือทำงานผมช่วยตรวจสอบ”
9) ความสัมพันธ์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ หลังร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย แต่ลาออกมาก่อน จนกระทั่งถึงทุกวันนี้เป็นอย่างไร
“ผมเคยไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแค่ครั้งเดียว ตอนสำคัญผิดเข้าไปร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยกับคุณทักษิณ ตอนนั้น ผมเข้าไปโดยซื่อไง เพราะเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้วคุณทักษิณก็มาคุยกับผม เพราะคิดว่าผมมีอะไรอยากทำอะไรเพื่อส่วนรวม ก็บอกว่ามาร่วมกันไหม ก็กล่อมจนภรรยาเกือบหย่า เพราะเขาไม่ค่อยชอบเรื่องการเมือง
“ข้อดีของคุณทักษิณเขาคิดไว เขาเป็นคนหนุ่มที่เก่ง ถ้าเขาทำอย่างที่พูดกับผม ก่อนที่ผมตัดสินใจ ยอดเยี่ยมเลย! นี่คุยกันไง อย่างนี้ท่านว่าไง เออดี อาจารย์เอา แต่ที่ผมไปอยู่มันไม่จริง ไม่มี ผมก็เลยถอย ผมไม่มีขัดแย้งกับท่าน ก็ยังเคารพ แต่ไม่จำเป็นต้องไปพูด และตั้งแต่ออกมาผมไม่เคยเจอท่าน ไม่ได้คุยอีก ตอนผมลาออก ท่านก็โทรศัพท์มาถามผม ทำไม เป็นไง ผมก็พูดให้มันสุภาพหน่อย ผมอาจจะสอนหนังสือมากกว่า ทั้งที่จริงๆ ก็สอนอยู่แล้ว (อมยิ้ม)
“ส่วนความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณทักษิณ คุณต้องไปอ่านบทความผมเรื่องหักดิบกฎหมาย (คดีซุกหุ้นภาคแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิด) มันจะสื่ออะไรบางอย่าง ผมเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ชาวเยอรมันคนหนึ่งเคยพูดมาก่อน ว่าถ้าศาลเยอรมันทำตรงไปตรงมา เนรเทศกลับออสเตรีย ฮิตเลอร์ก็จะไม่ขึ้นสู่อำนาจ เพราะฮิตเลอร์เริ่มแสดงถึงความเป็นเผด็จการ หลังหลุดคดี นำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ฆ่าคนยิวตายเป็นล้าน
“มนุษย์เรา คุณต้องเข้าใจ มันแสวงหาอำนาจกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณหรือผม บางคนก็ At All Cost ใช้ทุกอย่าง”
10) ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่มีบางฝ่ายผลักดันอยู่ มองว่าจะต่อยอดการทำงานของ คอป.ในการสร้างความปรองดองได้หรือไม่
“(ตอบทันที)คนละเรื่องกัน ผมก็ติดตาม แต่ในร่าง พ.ร.บ.มีหลายเรื่องปะปนกัน เลยมองไม่ออก พอมองไม่ออก คนก็สงสัย ถ้าบอกว่าจะนิรโทษฯคุณทักษิณ หรือจะอภัยโทษคุณทักษิณ คนก็สงสัย เพราะนคลุมเครือหมด
“ผมไม่รู้ว่าเขาจะซ่อนหรือไม่ซ่อน แต่เราทำงานคนละอย่าง เราใช้ความรู้ ก่อนจะพูดถึงนิรโทษกรรม ก็เปิดเวทีเพื่อถามผู้รู้ ว่าเขามีอะไรในหลักวิชา เราใช้อย่างนั้น ไมใช่อยู่ๆ จะออกมา"