ตามรอย คอป.(1) : เปิด “3 ตัวละครหลัก" จุดชนวน "ล้อมฆ่า-เผาเมือง" ปี 2553
คลี่บางส่วนงานวิจัย คอป. ที่ทำขึ้นเพื่อค้นหาสาเหตุความรุนแรง ในเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 โดยมีการระบุถึง "2 องค์กร-1 บุคคล" ว่ามีส่วนสำคัญในการจุดไฟกลางเมือง เมื่อ 2 ปีก่อน
แม้ว่า “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ชุดที่มี “นายคณิต ณ นคร” เป็นประธาน จะหมดวาระการดำรงตำแหน่ง ไปตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา
แต่ตัวสำนักงาน คอป.ยังเดินหน้าประมวลสิ่งที่ “คอป.ชุดใหญ่ และอนุกรรมการ คอป.ทั้ง 5 ชุด” ทำ ต่อไปได้ กระทั่งถึงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ตามปีงบประมาณ
เพื่อให้ทันต่อการนำเสนอรายงานของ คอป.ชิ้นสุดท้าย ที่นายคณิตระบุว่า น่าจะออกมาได้ “ภายในเดือน ส.ค.นี้”
ทั้งนี้ 1 ใน 6 อำนาจหน้าที่ ซึ่ง คอป.ได้รับมอบหมายมา ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ พ.ศ.2553 คือการทำวิจัยค้นหา “ราก-เหง้า” ที่ส่งผลให้เกิด “ความแตกแยก-ความรุนแรง”
นำไปสู่การตั้ง “อนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการ” ชุดที่มีนายสุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมนูญ ในฐานะกรรมการ คอป.เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวโดยเฉพาะ
ซึ่งวันศุกร์ที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา อนุกรรมการ คอป.ชุดดังกล่าว ก็ิเปิดโรงแรมรามาการ์เด้นส์ เพื่อจัดงานเสวนาทางวิชาการ พร้อมแจกเอกสาร รายงานการศึกษาวิจัยเรื่อง “รากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง” มีความหนา 26 หน้า ซึ่งเชื่อกันว่า รายงานชิ้นนี้แหล่ะ จะเป็นพิมพ์เขียว สิ่งที่ คอป.ใช้เป็น “คำตอบ” สำหรับ “คำถาม” เรื่องราก-เหง้า ความรุนแรงในเหตุการณ์ ปี 2553
ที่ขั้วตรงข้ามทางการเมืองต่างให้คำนิยามไม่เหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเรียกเหตุการณ์ “ล้อมปราบฆ่าประชาชนมือเปล่า” อีกฝ่ายเรียกเหตุการณ์ “ผู้ก่อการร้ายปล้นฆ่าเผาเมือง” !
หากโฟกัสในเนื้อหางานวิจัย ดังกล่าว จะพบว่า นอกจากปัญหาเรื่องโครงสร้างระหว่าง เมือง-ชนบท รวย-จน จนทำให้เกิด “ชนชั้นทางเศรษฐกิจ” ขึ้นมาในสังคมไทย แล้ววิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ เช่น ต่อรองเกี้ยเซี้ยผลประโยชน์ ฯลฯ ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ยังมุ่งเน้นไปที่บทบาทของ “2 องค์กร-1 บุคคล” ที่มีผลต่อการสร้างความรุนแรง นั่นคือ 1.สื่อมวลชน 2.บุคคลในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงศาลด้วย และ 3.ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
อย่างใน “ข้อ 5.3 ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นและแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความรุนแรง” ก็มีหลายข้อที่เขียนถึงบทบาทของ “3 ตัวละครหลัก” ดังกล่าว อาทิ
5.3.1 การเกิดขึ้นของสื่อทางการเมืองและสื่อบุคคล ที่มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลตลอดจนความคิดที่สนับสนุนฝ่ายตนและต่อต้านฝ่ายตรงข้าม ซึ่งสื่อเหล่านี้รัฐไม่สามารถควบคุมได้ โดยสื่อแต่ละฝ่ายจะทำหน้าที่ผลิตและขยายภาพความดีของฝ่ายตนให้ใหญ่กว่าปกติ แต่ลดขนาดภาพความผิดพลาดให้เล็กกว่าปกติ ในขณะเดียวกัน ก็ลดขนาดภาพความดีของฝายตรงข้ามให้เล็กกว่าปกติ และขยายภาพความผิดพลาดของฝ่ายตรงข้ามให้ใหญ่กว่าปกติ
5.3.4 การโฟนอินและการต่อท่อน้ำเลี้ยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยำไปสู่การก่อให้เกิดความรุนแรง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนจะเกิดความฮึกเหิม แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มตรงข้ามเกิดความรู้สึกต่อต้าน และไม่ไว้วางใจ
5.3.5 ความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม (rule of law) ของประเทศไทย เริ่มจากกรณีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดจนประกาศ คอป.ฉบับที่ 27 ที่เพิ่มโทษการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ และประกาศ คอป.ฉบับที่ 30 ที่จัดตั้ง คตส.ขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการนิรโทษกรรมตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มารตา 309 รวมถึงกรณีอื่นๆ เช่น ฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด แทรกแซงองค์กรอิสระ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ
5.3.6 ตุลาการภิวัฒน์ เมื่อโครงสร้างการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติเสียดุลไป คือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติเป็นฝ่ายเดียวกัน เนื่องจากส.ส.เป็นผู้เลือกนายกฯที่มาจากพรรคเดียวกัน ฝ่ายตุลาการจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการถ่วงดุลอำนาจ ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะไม่ยอมรับกลไกของกระบวนการยุติธรรมและนำไปสู่การโจมตีบทบาทดังกล่าว ทำให้สังคมมีสภาพเสมือนหนึ่งขาดผู้รักษากติกาที่เป็นกลางในสถานการณ์เช่นนี้
5.3.7 การตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินจริงของผู้ที่มีอำนาจรัฐต่อผู้ต่อต้าน ทำให้เกิดการต่อต้านและความอาฆาตที่นำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น และเนื่องจากข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นคดีอุกฉกรรจ์ทำให้การประกันตัวเป็นไปได้ยาก ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกคับข้องใจ การไม่ได้รับความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น อันนำไปสู่ความคับแค้นใจ ความอาฆาต และถูกนำไปขยายผลเป็นความเกลียดชัง ก้าวร้าวรุนแรงตามมา
5.3.8 การสร้างการรับรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมมีสองมาตรฐาน
5.3.10 การป่วนทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงความเกลียดขัง และตอกย้ำข้อขัดแย้งที่มีอยู่เดิม เช่นเรียกพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเผาไทย เรียกพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคประชาวิบัติ รวมทั้งมี hate speech และ harmful information ที่แสดงถึงความเกลียดชัง ยั่วยุ เป็นอันตราย แบ่งพรรคแบ่งพวก และมีความจริงเพียงบางส่วนเป็นตัวตอกย้ำ
5.3.11 ความขัดแย้งแบบเดิมพันสูง เป็นลักษณะผู้ชนะกินรวบ จนแต่ละฝ่ายรู้สึกว่าแพ้ไม่ได้ นำไปสู่การต่อสู้กันแบบเทหมดหน้าตัก
ฯลฯ
ช่วงท้ายของงานวิจัยชินนี้ ยังได้มี “ข้อ 6 ข้อเสนอแนวทางในการสร้างความปรองดองของชาติ” แบ่งเป็น 1.ข้อเสนอเพื่อหยุดยั้งความรุนแรง อาทิ กำหนดกติกาในการชุมชุนเรียกร้อง, ควรใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงแทน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, ผู้นำการชุมนุมต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม ฯลฯ
2.ข้อเสนอเพื่อลดเงื่อนไขที่นำไปสู่การใช้ความรุนแรง อาทิ ยุติการเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายที่ก่อให้เกิดการยั่วยุ, ทบทวนการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกิดจริง, ควบคุมสื่อมวลชนไม่ให้เป็นเครื่องมือในการผลิตซ้ำและกระตุ้นความรุนแรง, เสริมสร้างความเข้าใจในหลักนิติธรรม และสร้างกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจ เพื่อลดความเคลือบแคลงสงสัยจากกลุ่มต่างๆ ในสังคม, หัวหน้าคณะรัฐบาลที่บริหารประเทศขณะเกิดสถานการณ์รุนแรง ควรแสดงการขอโทษ ขออภัยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ฯลฯ
และ 3.ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาระยะยาว อาทิ สร้างโครงสร้างอำนาจที่เอื้อต่อการพัฒนาที่เสมอภาค, ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในฐานะกลไกบังคับใช้กฎหมาย, ปฏิรูปกลไกด้านการรักษาความมั่นคงของประเทศ, สร้างหลักประกันให้สื่อมวลชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง ภายใต้มาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ ฯลฯ
