“หมออำพล จินดาวัฒนะ” : ปลุกพลังมวลชนหนุนชุมชนทำเอชไอเอ
ก้าวต่อไปของกระบวนการพัฒนาศักยภาพชุมชนให้รู้เท่าทันโครงการพัฒนาหลากประเภทที่ส่งผลกระทบเชิงลบอาทิ โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเครื่องมือเอชไอเอชุมชนในมุมมองของเลขาธิการคสช. ...
น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าว ปาฐกถาเรื่อง “บทบาทและทิศทางของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติในการพัฒนาเอชไอเอชุมชน สู่การตัดสินใจนโยบายสาธารณะ” ในงานประชุมวิชาการเอชไอเอชุมชน ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2555 ที่โรงแรมรามา การ์เดนส์ กรุงเทพฯ ว่า อยากพูดถึงเรื่องปัญหาคลิตี้ จ.กาญจนบุรี คนลงทุนรวยแล้วไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่วันนี้ในเลือดเนื้อของคนที่นั่นมีสารตะกั่ว และในแหล่งน้ำ แผ่นดินของไทย
ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นที่อื่นเช่นกัน เมื่อเร็วๆ นี้เห็นข่าวที่จ.สระบุรี มีบ่อรับขยะพิษจากโรงงาน ผู้จัดการให้สัมภาษณ์ทีวีชัดเจนว่าทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่ชุมชนซึ่งไม่เคยมีสารโลหะหนักมาก่อน ทำไมอยู่ในเลือดของเด็กและในแหล่งน้ำ...?
ให้เครื่องมือเสริมชุมชนรู้เท่าทัน
ที่ยกกรณีตัวอย่างเพราะ ต้องการชี้ให้เห็นว่าทำไมต้องมีเครื่องมือให้ภาคประชาชนมีโอกาสเรียนรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ เพราะที่ผ่านมาการพัฒนารวมศูนย์ ตามอำนาจรัฐรวมศูนย์ และแบ่งการทำงานตามกฎหมายที่แตกต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้นวันดีคืนดีเกิดขึ้น ล้อมรั้วลงมือลงไม้ ภูเขาทั้งลูกอาจถูกให้สัมปทานเพื่อใช้ทำอะไรบางอย่าง
“ถ้าชาวบ้านเดินเข้าไปเก็บหน่อไม้กลายเป็นเรื่องผิด แต่ในพื้นที่เดียวกันรัฐมีอำนาจให้ใครลงทุนเจาะหายไปทั้งภูเขาได้”
ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น คนที่ลงทุนไม่ใช่คนอยู่ที่นั่น วันนี้เงินไหลบ่าข้ามโลก ไม่รู้เงินลงทุนของใคร ได้กำไรเติบโตไปเรื่อยๆ แล้วก็ไป แต่คนที่ได้รับผลกระทบแน่นอนคือคนที่อยู่ที่นั่น ถึงเวลาที่คนไทยต้องเห็นตรงนี้ และจะต้องช่วยกัน
“เอชไอเอ และซีเอชไอเอ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะให้โอกาสชุมชนได้มีโอกาสรู้เท่าทันข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเขาเอง โดยมีตัวช่วยเป็นคนนอก ให้ชุมชนรู้เท่าทันข้อมูลต่างๆ อาจถูกเรียกว่าต่อต้านการพัฒนาไม่เป็นไร แต่เราทำเพื่อสุขภาวะของคนที่นั่น”
ชี้ข้อมูล ความรู้ ถูกยึดไปอยู่ศูนย์กลาง
ต้องถือว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมาการพัฒนาซีเอชไอเอ หรือเอชไอเอเป็นแค่ปฐมบท ยังต้องทำต่อไป เชื่อว่าการประชุมวิชาการในครั้งหน้าจะมีพลังต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมากมายถ้าประชาชน ชุมชน นักวิชาการ ผู้มีความปรารถนาดี ข้าราชการ ที่เห็นสิ่งเหล่านี้ไปช่วยหนุนเสริมชุมชนก็จะเกิดพลังในการทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
“แต่จะไปบอกให้ชุมชนทำด้วยตัวเองแบบเบ็ดเสร็จทำไม่ได้ครับ เพราะข้อมูลความรู้ เทคโนโลยี อำนาจ ทั้งหลายถูกยึดไปนานแล้ว เข้าไปอยู่ที่ส่วนกลาง มหาวิทยาลัย นักวิชาการ ราชการ นายทุน”
เอชไอเอไม่ใช่กลไกอำนาจอนุมัติ-อนุญาต
วันนี้เราได้กำหนดว่า คำว่าสุขภาพไม่ใช่การป่วยแบบหาหมอกินยาเท่านั้น แต่หมายถึงสุขภาวะการอยู่ร่วมกัน บางครั้งเราพูดเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากนโยบายสาธารณะ โครงการต่างๆ บางคนยังพูดแต่เรื่องโรค ซึ่งขณะนี้ไปไกลกว่านั้นแล้ว ที่กำหนดในพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มีเครื่องมือหลายอย่างรวมทั้งเอชไอเอด้วย
“เอชไอเอไม่ได้หวังเป็นกลไกอำนาจแบบการตัดสินอนุมัติ อนุญาต แต่เป็นเครื่องมือให้คนไทยได้เข้ามาทำงานร่วมกัน โดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.) และ สช. มีหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อทำงานร่วมกัน เมื่อทำแล้วไม่มีอำนาจไปบังคับใคร”
ยันมีผู้ติดตามทวงถามมติสมัชชาสุขภาพ
ส่วนที่ผู้แทนจากสภาพัฒน์อภิปรายบนเวทีว่า มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ไม่มีผลอะไร หลังครม.เห็นชอบ ถ้ามองเชิงอำนาจจริง แต่ถ้ามองเชิงอำนาจอ่อนมีผล เพราะเจ้าของมติ ที่ไม่ใช่หน่วยงาน แต่เป็นผู้ร่วมผลักดันมติ จะคอยติดตามว่าส่วนราชการทำหรือไม่ แล้วจะทวงถาม ผลักดัน เป็นอำนาจอ่อนของสังคม กระบวนการที่เราทำทั้งหมดภายใต้ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ สมัชชาสุขภาพ ธรรมนูญสุขภาพ เอชไอเอ คือเครื่องมือเสริมความเข้มแข็งให้ภาคประชาชนเข้ามาใช้
คุณค่าของเอชไอเอ ข้อหนึ่งคือ ช่วยให้ประชาชนคนเล็กน้อย ทุกภาคส่วนที่สนใจได้เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายสาธารณะร่วมกัน ซึ่งก่อนนี้เป็นเรื่องรัฐ ส่วนกลางกำหนดทั้งสิ้น เราเป็นคนแบมือ ต้องการอะไรบอก ไม่ต้องการก็ให้
“วันนี้เรามีส่วนขอกำหนดเรื่องนั้นนี้ มีสิทธิมีเครื่องมือทำให้กระบวนการกำหนดมีมากขึ้น เราไม่วิ่งไล่ตามปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเอชไอเอต้องไปดักหน้าปัญหาคือมีการประเมินก่อนที่จะลงมือทำ อย่าไปรกระบวนการอีเอชไอเอเท่านั้น จะต้องสร้างกระบวนการที่ภาคประชาชน ชุมชน และสังคมมีการประเมินผลกระทบด้วยตัวเอง ”
กระบวนการภาคประชาชนต้องอดทน
ยิ่งทำก่อนมีแผนงานโครงการได้ยิ่งดี ต้องมีคนที่มีความปรารถนาดี มีคนที่ไปช่วยกันทำ แต่ละเรื่องที่ออกมาเป็นกรณีตัวอย่างไม่ใช่พลิกฝ่ามือแล้วออกมาได้ เป็นการทำงานที่ทรหดอดทนของคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปช่วยกันทำให้ชุมชนสามารถเรียนรู้และเท่าทัน
“ชาวบ้านทำแผนที่ชุมชน ทั้งที่ปกติไม่มีทางรู้ถ้าอยู่กันในแบบเดิม รอให้คนอื่นมากำหนดแผนที่ วันนี้ชาวบ้านสามารถใช้จีไอเอส จีพีเอสทำแผนที่ได้ไปไกลแล้ว เราต้องช่วยกันส่งเสริม ขอเรียกร้องนักวิชาการ คนที่อยู่ข้างนอกที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปช่วยประชาชนให้เขามีเครื่องมือเหล่านี้ในการดำเนินการ”
แนะทำด้วยเหตุผลและหัวใจ
อย่างไรก็ตามเอชไอเอ ไม่ใช่เครื่องมืออนุมัติ อนุญาตเอาเป็นเอาตายบนเหตุและผล รวมทั้งทางเทคนิค วิชาการ เครื่องมือเอชไอเอจะต้องใช้หัวใจด้วยเสมอ “เพราะหัวใจมีเหตุผลที่เหตุผลไม่รู้จัก” มนุษย์อยู่ร่วมกันได้ ต้องมีการใช้หัวใจคู่กับเหตุผล ในหัวใจมีเหตุผล เป็นเหตุผลทั่วๆ ไปที่ไม่รู้จัก
การพัฒนาที่เดินไปได้ต้องมีเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มีน้อยมาก เพราะโรงงานบอกถูกกฎหมาย กำหนดเขตถูกต้องได้รับอนุญาต และห้ามเข้า ทุกอย่างทำถูกต้อง แต่ปู ปลา น้ำ พืชมีโลหะหนัก เลือดของเด็กและผู้ใหญ่ที่นั่นมีโลหะหนัก ทั้งที่อยู่กันมาชั่วนาตาปีไม่มี ซึ่งถ้าพูดด้วยหัวใจไม่ต้องไปไล่อะไรมาก....
สร้างกัลยาณมิตรพี่เลี้ยงช่วยชุมชน![]()
“ซีเอชไอเอถ้าเป็นคำสวยๆ บอกว่า เอชไอเอของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน ไม่ได้ อย่าไปเปรียบเทียบแบบนี้ เพราะคล้ายๆ กับว่าโยนให้เป็นความรับผิดชอบของชุมชนเบ็ดเสร็จทำไม่ได้ เพราะความรู้ เทคนิค วิทยาการทั้งหลายถูกไฮแจ๊คไปจากชุมชน ชุมชนถูกทำให้อ่อนแอมาเป็นร้อยปี”
เพราะฉะนั้นเอชไอเอชุมชนจะรู้เท่าทันได้ต้องมีคนเข้าไปช่วยเป็นกัลยาณมิตร โดยชุมชนเป็นคนทำเป็นหลักโดยมีสุขภาวะชุมชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เงิน ถ้าเข้าไปทำโดยมีเงินเป็นตัวตั้ง ผลผลัพธ์จะเป็นอีกอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
ทิศทางการพัฒนาที่ถูกต้องเคารพธรรม
ทั้งนี้การพัฒนาที่ดีต้องเป็นไปอย่างให้เกียรติและเคารพธรรมคือธรรมะ เคารพความเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิตของกันและกันไม่ใช่ซ้ำเติม ไม่ฉวยโอกาสเอาแต่ประโยชน์ โดยไม่สนใจเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งรอบตัว นี่คือการพัฒนาที่ถูกต้อง ต้องช่วยกันให้เดินไปในทิศทางนี้
“อยากให้กำลังใจว่า เรากำลังทำในสิ่งที่ปกติเกิดไม่ได้ ถ้าเรากำลังทำในสิ่งที่มันเกิดไม่ได้ในระบบปกติ ประชาชนที่ไหนจะมีสิทธิประเมินเอชไอเอ มาหาข้อมูล เขียนแผนที่ เก็บและเสนอข้อมูล มีสิทธิกำหนดอนาคตตัวเองไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มทำจากจุดหนึ่งไปต่อไปเรื่อยๆ... เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย”
