“มือ เท้า ปาก” เด็กโต-ผู้ใหญ่เป็นได้ไหม? ติดกี่คน ถึงควรปิด รร.?
หลายคนอาจสงสัยว่า “โรคมือเท้าปากเปื่อย” (Hand Foot Mouth Syndrome) ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับบรรดาผู้ปกครองไทยอยู่ในเวลานี้ จะสามารถระบาดไปยังคนกลุ่มอื่นๆ นอกจากเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีได้หรือไม่ หลังจากพบว่ามีผู้ป่วยแล้วถึง 13,918 คน
“นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์” อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับไวรัสมือเท้าปากที่พบในเมืองไทย ปี 2555 นี้ คือไวรัสคอกซากี (Coxsackievirus) เอ 6 กลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus Genus) 71 สายพันธุ์ บี 5 เป็นเชื้อที่เคยพบอยู่ก่อน
เหตุใดถึงมาระบาดช่วงนี้?
“หมอพรเทพ” กล่าวว่า เนื่องจากเป็นช่วงก่อโรค เป็นฤดูฝน มีความอับชื้น ระบายอากาศไม่ดี ทำให้แหล่งชุมชน หรือแหล่งคนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน อนุบาล ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีโอกาสติดเชื้อและแพร่กระจายสูง
และนอกจาก “เด็กเล็ก” แล้ว มีโอกาสที่ “เด็กโต” จะเป็นโรคนี้ ได้หรือไม่??
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า “ที่ว่าเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงไปคงไม่มี แต่เชื้อไวรัสมือเท้าปากจะติดคนทีไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันแล้ว รวมทั้งคนที่เคยติดเชื้อแล้วจะไม่เป็นอีก แต่ในกรณีข่าวที่พบปิดโรงเรียนประถมวัย ต้องดูว่าเด็กกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีอายุเท่าไร หากต่ำกว่า 12 ปีก็ถือว่าปกติ เพราะอยู่ในข่ายที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อ”
สำหรับมาตรการป้องกันว่า หากพบเด็กติดเชื้อ “กี่คน” ถึงจะ “ปิดโรงเรียน” ได้นั้น
นพ.พรเทพ กล่าวว่า หากพบเด็กได้รับเชื้อในห้องเรียนเกิน 2 คน ให้ปิดห้องเรียน หากพบเด็กได้รับเชื้อในชั้นเดียวกันเกิน 3 คน ให้เปิดการเรียนการสอนทั้งชั้น และหากพบผู้ป่วยกระจายในระดับชั้นต่างๆ เกิน 5 ห้องเรียน ก็ให้เปิดโรงเรียนชั่วคราวประมาณ 1 สัปดาห์
ตามข้อมูลพื้นฐานของโรคมือเท้าปากเปื่อย ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นไข้ เจ็บคอ มีแผลในปาก มีผื่นตามมือและเท้า วิธีการรักษา ยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้ ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ฯลฯ แล้วผู้ป่วยหายจากโรคเอง ภายใน 5-7 วัน
โดยเชื้อไวรัสนี้จะติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เสมหะ น้ำลาย หรือน้ำจากผื่นที่มือหรือเท้า อุจจาระ ฯลฯ
เบื้องต้นมีผู้แนะนำว่า การสู้กับโรคนี้ดีที่สุดคือการป้องกัน โดย “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า โรคดังกล่าวติดต่อจากการสัมผัส ดังนั้นจะต้องรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือบ่อยๆ หรือรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน
โดย นพ.กฤษดา หรือ “หมอต้น” ยังแนะนำเมนูเด็ด ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวเรือหรือพะโล ที่มี “โป๊ยกั๊ก” ซึ่งเป็นสมุนไพรไล่ไวรัสตัวฉกาจ เพราะมีการวิจัยระบุว่า ช่วยสกัดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส
นอกจากนี้ยังมี อีก "8 เมนูชวนชิม" ของที่หมอต้น ซึ่งต่างประกอบด้วยสารอาหารในการต้านทานโรค ประกอบด้วย ขมิ้นชัน เห็นหลินจื่อ เห็ดหอม เห็ดชิตาเกะ หัวหอม กระเทียม รำข้าวโอ๊ต ส้มหรือเสาวรส และองุ่น !
-เรียบเรียงจากข้อมูลในเว็บไซต์ นสพ.คมชัดลึก และเว็บไซต์ www.siamhealth.net
